กรุงเทพฯ 1 ก.ค.-ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าร้องผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ให้มีคำสั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบตำรวจนายหนึ่งของ สน.โชคชัย หลังทำสำนวนคดีจับกุมผู้ต้องหายาเสพติด 2 คน ล่าช้าเกินกรอบเวลาสั่งฟ้อง 84 วัน ส่งผลให้ผู้ต้องหาถูกปล่อยตัวจากเรือนจำและไม่ถูกดำเนินคดี
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหลักฐานเข้าพบ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบตำรวจยศ พ.ต.ท. สังกัด สน.โชคชัย เนื่องจากมีพยานหลักฐานระบุว่า นายตำรวจรายนี้ได้ช่วยเหลือนายจีรวัฒน์ พูดบำรุง และ น.ส.พนิดา แย้มขยาย 2 สามีภรรยาผู้ต้องหาในคดียาเสพติด ที่ถูกตำรวจ191 จับกุมตัวได้พร้อมไอซ์ หนัก 3 กก. เมื่อ 22 มีนาคมที่ผ่านมา โดยชุดจับกุมส่งตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง และบันทึกการจับกุมมอบให้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัย คนดังกล่าว แต่ตำรวจรายนี้กลับทำสำนวนล่าช้า ส่งผลให้คดีนี้ไม่สามารถสั่งฟ้องไปยังพนักงานอัยการคดียาเสพติดได้ ตามกรอบเวลา 84 วัน ทำให้ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ถูกปล่อยตัวจากเรือนจำและไม่ถูกดำเนินคดี
นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ต้องการให้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมีคำสั่งไล่นายตำรวจรายนี้ออกจากราชการ เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการช่วยเหลือผู้ต้องหา ซึ่งถือว่าเป็นความผิดวินัยรายแรง และขอให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำข้อมูลเข้าร้องเรียนกับ ผบช.น.
ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2561 นายตำรวจรายดังกล่าวถูกตั้งกรรมการสอบวินัย กรณีนายไพรวัลย์ แซ่ลี้ ผู้เสียหายในคดีถูกเชิดรถที่จำนำมา รมควันฆ่าตัวตายที่ จ.สมุทรปราการ ก่อนเขียนจดหมายลาตาย ระบุว่าถูกตำรวจนายนี้เรียกรับเงินค่าทำคดี 5,000 บาท แต่คดีกลับไม่มีความคืบหน้า
หลังรับเรื่องร้องเรียน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยอมรับจากประสบการณ์ทำงาน คดีนี้พนักงานสอบสวนทำคดีล่าช้าจริง โดยตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรงแล้ว พร้อมสั่งผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 รายงานผลใน 7 วัน โดยการทำคดีล่าช้า ส่วนใหญ่จะเกิดจาก 3 สาเหตุ คือ งานเยอะ เกียจคร้าน หรือจงใจ แต่เชื่อว่ากรณีนี้ตำรวจนายนี้มีสำนวนในมือไม่มาก ดังนั้น ขอเวลาตรวจสอบว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ยืนยันว่ามีความผิดปกติอยู่มากพอสมควร สำหรับบทลงโทษหากพบพฤติกรรมช่วยเหลือผู้ต้องหาคดียาเสพติดจริงจริง มีโทษสูงสุดคือให้ออกจากราชการและดำเนินคดีอาญา.-สำนักข่าวไทย