fbpx

ยาทาจากโค้ชจีน ทำจอมพลังเจอโด๊ป ลุ้นโควตาโอลิมปิก 2020 ต่อ

กทม. 11 มิ.ย.-สมาคมยกน้ำหนักไทย เปิดแคมป์ทีมชาติอีกครั้ง หลังการสอบสวนการโด๊ปเกิดจากยาทาชนิดเจลของโค้ชจีน พร้อมเดินหน้าเตรียมทีมส่งจอมพลังหน้าใหม่ คว้าโควตาโอลิมปิกเกมส์ 2020



หลังจากนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาติไทย จำนวน 10 คน นำโดย สุกัญญา ศรีสุราช และ โสภิตา ธนสาร สองจอมพลังสาวทีมชาติไทย เจ้าของเหรียญทองยกน้ำหนัก โอลิมปิกเกมส์ 2016 ริโอเกมส์ ถูกตรวจพบสารกระตุ้นต้องห้าม จากการแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก 2018 ที่ประเทศเติร์กเมนิสถาน ด้วยวิธีการตรวจแบบ IRMS ที่มีความละเอียดและซับซ้อนในการตรวจหาสารกลุ่มอนาบอลิก สเตียรอยด์ ทำให้สมาคมยกน้ำหนักของไทย แสดงความรับผิดชอบด้วยการปิดแคมป์ฝึกซ้อมที่จังหวัดเชียงใหม่ทันที และไม่ส่งนักกีฬาออกไปแข่งขันในระดับนานาชาติมาเป็นเวลากว่า 4 เดือน 


ล่าสุดหลังจากที่สมาคมได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ โดยได้สอบสวนและบันทึกคำให้การผู้เกี่ยวข้องถึง 24 คน ทั้งตัวนักกีฬาทั้ง 10 คนที่ตรวจพบสารต้องห้าม, โค้ชชาวจีนและไทย, นักกีฬาทีมชาติในแคมป์, นักกายภาพบำบัด และแพทย์ที่ดูแลรักษานักกีฬา ประกอบกับประวัติการตรวจสารต้องห้ามของนักกีฬาไทย ระหว่างปี 2561-2562 ที่ไม่พบสารต้องห้าม จึงพิสูจน์ได้ว่าน่าจะเกิดจากยาทาชนิดเจลที่ หลิว หนิง โค้ชชาวจีน นำมารักษาอาการบาดเจ็บให้กับนักกีฬาไทย โดยบอกนักกีฬาว่าไม่มีสารต้องห้ามเป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือว่านักกีฬารู้เท่าไม่ถึงการณ์ 


โดยนับจากนี้ พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย ประธานที่ปรึกษาสมาคมกีฬายกน้ำหนักสมัครเล่นแห่งประเทศไทย เตรียมส่งเอกสารผลการสอบสวน และหลักฐานทุกอย่างไปให้สหพันธ์ยกน้ำหนักโลก หรือ IWF พิจารณาตัดสินอีกครั้งในการประชุมบอร์ดบริหารวันที่ 15-16 กันยายนนี้ว่า ไทยจะถูกลงโทษห้ามแข่งขันยกน้ำหนักชิงแชมป์โลก 2019 ระหว่างวันที่ 18-27 กันยายนนี้ ที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี หรือไม่ แต่ตอนนี้ได้สั่งเปิดแคมป์ฝึกซ้อมที่จังหวัดเชียงใหม่อีกครั้ง พร้อมเตรียมจอมพลังดาวรุ่งที่ไม่ถูกแบน ชาย 5 หญิง 4 ลงลุ้นโควตาโอลิมปิกเกมส์ 2020 โดยตอนนี้ยังเหลือ 4 รายการให้จอมพลังไทยเก็บคะแนน แต่ไทย ถูก IWF คาดโทษลดโควตาจากชาย 5 หญิง 4 เหลือเพียงชาย 2 หญิง 2 ซึ่งต้องมาลุ้นว่าอนาคตของจอมพลังไทยและความหวังเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์จากกีฬายกน้ำหนัก ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ในการตัดสินโทษของ IWF กลางเดือนกันยายนนี้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พบศพโบลท์หญิงวัย 47 ในป่าหญ้าริมทาง คาดถูกฆ่าชิงรถ

โบลท์หญิงวัย 47 ปี หายตัวจากบ้านพักย่านดินแดง 9 วัน ล่าสุดพบเป็นศพในป่าหญ้าริมถนนสายนครชัยศรี-ห้วยพลู อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ส่วนรถยนต์โผล่ที่ จ.ภูเก็ต คาดถูกคนร้ายฆ่าชิงรถ

pagers on display

ทำไมยังมีการใช้ “เพจเจอร์” ในยุคสมาร์ทโฟน

ลอนดอน 19 ก.ย.- เพจเจอร์ หรือวิทยุติดตามตัวเป็นอุปกรณ์การสื่อสารยอดนิยมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 ที่ต้องหลีกทางให้แก่โทรศัพท์เคลื่อนที่ เนื่องจากเป็นการสื่อสารทางเดียว แต่ยังคงมีการใช้งานในบางกลุ่ม รวมถึงกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ที่เพจเจอร์ระเบิดพร้อมกันหลายพันเครื่องทั่วเลบานอนเมื่อวันที่ 17 กันยายน แหล่งข่าวเผยว่า ฮิซบอลเลาะห์ใช้เพจเจอร์ เนื่องจากเป็นช่องทางสื่อสารเทคโนโลยีต่ำ ส่งข้อความผ่านสัญญาณวิทยุ จึงตรวจจับสัญญาณและตำแหน่งได้ยากกว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ส่งสัญญาณไปยังเสาส่งที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกทั้งไม่มีเทคโนโลยีระบุพิกัดบนพื้นโลกอย่างจีพีเอสด้วย อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไอ (FBI) ของสหรัฐเผยว่า ในอดีตแก๊งอาชญากรรมโดยเฉพาะแก๊งค้ายาเสพติดในสหรัฐเคยนิยมใช้เพจเจอร์ แต่ขณะนี้หันมาใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบเติมเงินราคาถูกที่สามารถเปลี่ยนเครื่องและหมายเลขได้อย่างง่ายดาย ทำให้เจ้าหน้าที่ติดตามแกะรอยได้ยาก อย่างไรก็ดี  ศัลยแพทย์โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักรเผยว่า เพจเจอร์เป็นอุปกรณ์ที่แพทย์และพยาบาลสังกัดสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติหรือเอ็นเอชเอส (NHS) ต้องพกติดตัวอยู่เสมอ เพื่อรับแจ้งข่าวในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นช่องทางที่ถูกที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการแจ้งข่าวทางเดียวกับคนจำนวนมาก เพจเจอร์หลายรุ่นสามารถส่งเสียงไซเรนและมีข้อความเสียงแจ้งให้ทีมแพทย์ไปรวมตัวที่ห้องฉุกเฉินได้ทันที ข้อมูลล่าสุดในปี 2562 ระบุว่า เอ็นเอชเอสใช้เพจเจอร์ประมาณ 130,000 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 10 ของที่ใช้ทั่วโลก คอกนิทีฟมาร์เก็ตรีเสิร์ช  (Cognitive Market Research) ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยคาดการณ์ว่า ตลาดเพจเจอร์จะเติบโตร้อยละ 5.9 ต่อปี จากปี 2566 ถึงปี 2573 […]

ข่าวแนะนำ

“อนุทิน” ลุยเชียงใหม่ร่วมบิ๊กคลีนนิ่ง ฟื้นฟูหลังน้ำลด

“อนุทิน” ลงพื้นที่เชียงใหม่ ร่วมทีม จนท.-กู้ภัย-อาสาสมัคร “บิ๊กคลีนนิ่ง” ฟื้นฟูเมืองหลังน้ำลด เร่งจ่ายเยียวยาผู้ประสบภัย