ถ.เพชรบุรี 21 พ.ค.-ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์ ชี้การใช้สารออกฤทธิ์กัญชารักษาโรคในคนได้เพียงบางโรค และยังไม่พบว่ามีงานวิจัยที่ระบุว่ารักษาโรคมะเร็งได้ ทั้งนี้การใช้ต้องควบคุมมาตรฐานตั้งแต่การปลูกจนถึงขั้นตอนการสกัดเป็นยา
ในการแถลงข่าว ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เรื่อง ‘สังคมไทย :ทางไปของกัญชา’ผศ.นพ.สหภูมิ ศรีสุมะ อายุรแพทย์ ศูนย์พิษวิทยา ภาค วิชาอายุศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และตัวแทนราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในขณะนี้สังคมไทยกำลังตื่นตัวในเรื่องการใช้ประโยชน์จากกัญชากันมากจนบางครั้งเกิดความสับสนของข้อมูลและความเข้าใจของประชาชนโดยในทางการแพทย์อยากให้มองเรื่องกัญชาที่การใช้ประโยชน์จากสารออกฤทธิ์ในตัวกัญชา นั่นคือสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ ซึ่งประกอบด้วยสาร THC และ CBD ที่ทางการแพทย์ในประเทศเปิดเสรีกัญชาหลายประเทศได้นำมาใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยทางการแพทย์ การใช้สารTHC ในขนาดที่เหมาะสมจะมีผลในการลดปวด ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อลดอาการคลื่นไส้ แต่หากได้รับในปริมาณสูงจะทำให้มีอาการเคลิ้มใจสั่นหน้ามืดเห็นภาพหลอน รบกวนการรับรู้การตัดสินใจและความจำนอกจากนี้การใช้สารชนิดนี้ขนาดสูงสม่ำเสมอทำให้เกิดภาวะดื้อต่อสารทำให้ต้องมีการเพิ่มขนาดเพื่อจะให้ได้ผลเท่าเดิมและเกิดการติดยาได้
ส่วนสาร CBD เป็นสารที่มีฤทธิ์ต้านอาการเมาเคลิ้มและอาการทางจิตที่ เกิดจากสาร THC จึงใช้สารCBD เพื่อควบคุมอาการชักและอาการปวดโดยพืชกัญชาแต่ละพันธุ์จะมีสารTHCและCBD ต่างกันขึ้นอยู่กับ เทคนิคการปลูกในการศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่า ระดับค่าเฉลี่ยของTHCในพืชกัญชาเพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ4ในปี 1995 เป็นร้อยละ 12 ในปี 2015 ขณะที่ค่า เฉลี่ยของสารCBD ลดลงจากเดิมร้อยละ 0.5 ในปี 2000 เหลือเพียงร้อยละ 0.1 ในปี 2015 ดังนั้นการจะนำมาใช้ทางการแพทย์ต้องควบคุมมีปริมาณสารที่คงที่และไม่มีสารTHC สูงเกินไป
ทั้งนี้ เห็นว่าในการใช้สารTHC ในปริมาณที่เหมาะสมสามารถใช้เป็นกลุ่มยาได้แต่ต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีกมาก โดยในการนำมาสกัดเป็นยาต้องมีมาตรฐานและมีปริมาณสารออกฤทธิ์เท่ากันทุกชุดไม่มีวัตถุเจือปน และเป็นการผลิตที่ได้มาตรฐาน ในห้องทดลอง ไม่ใช่ทำกันเอง หรือแจกเองได้ โดยทั่วไป พร้อมทั้งวัตถุดิบต้องมาจากการผลิตที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมเพื่อควบคุมปริมาณสารออกฤทธิ์อย่างเหมาะสม โดยทั่วไปเกณฑ์ของการผลิตผลิตภัณฑ์ยาจะมีสารTHC มากกว่า CBD เพื่อป้องกันการนำไปเสพและเกิดการติดยา ที่สำคัญจากข้อมูลการศึกษาวิจัยทั่วโลกมีข้อบ่งชี้ว่าสารในกัญชาที่ใช้ทางการแพทย์ในคนนั่น ใช้เป็นป็นยาแก้ปวด แก้คลื่นไส้และแก้ลมชักไม่ใช่ ยารักษามะเร็ง และไม่มีข้อมูลงานวิจัยใดๆที่ระบุว่าสารในกัญชาใช้รักษาโรคมะเร็งได้ ยังคงต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่ที่มีผู้ป่วยออกมาระบุว่าใช้แล้วหายอาจเป็นไปได้ว่ามีการใช้ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบัน โดยหลังจากมีความตื่นตัวการใช้ประโยชน์กัญชาทางการแพทย์ในประเทศไทยช่วง3-4 เดือน ที่ผ่านมาทำให้ราคาของน้ำมันสกัดกัญชาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
นอกจากนี้การใช้ประโยชน์จากสารสกัดกัญชาในรูปน้ำมัน เนยและขี้ผึ้ง นำมาแปรรูปเป็นขนมหรืออาหารซึ่งพบว่ามีระดับ THC สูงกว่าที่พบในธรรมชาติหลายเท่าด้วยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ดูภายนอกไม่ต่างกับขนมหรืออาหารทั่วไปทำให้เกิดการกินโดยไม่ตั้งใจ และกินในปริมาณมากจนเกิดอันตรายได้ ดังนั้นในการใช้ประโยชน์จากกัญชาจึงอยากให้ทุกฝ่ายทำความเข้าใจและตระหนักเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากที่สุด และไม่เกิดปัญหาจนต้องออกมาตรการควบคุมเหมือนในหลายประเทศที่เปิดเสรีกัญชาไปก่อนหน้านี้.-สำนักข่าวไทย