กรุงเทพฯ 5 ธ.ค.-นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยแนวโน้มตลาดหุ้นเดือน ธ.ค. ว่า มีความผันผวนน้อยลง และมีทิศทางที่ชัดเจนมากขึ้นจากสองปัจจัยหลัก คือ ราคาน้ำมันดิบที่ส่งผลบวกต่อหุ้นน้ำมันและเศรษฐกิจโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ จากภาพตลาดที่เป็นบวก จะทำให้มีเงินเข้ามาซื้อ กองทุน LTF-RMF มากขึ้นด้วย จึงคาดว่าดัชนีเดือนนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนก่อน โดยปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นในเดือนธันวาคม ได้แก่ นโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ที่นักลงทุนกำลังรอดูว่านโยบายใดจะทำได้บ้าง โดยที่นโยบายด้านการค้าระหว่างประเทศ การลดภาษีและการลงทุนภาครัฐ เป็นนโยบายที่สำคัญต่อตลาด รวมไปถึงเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้ QE ประเทศต่างๆ ชะลอหากสหรัฐฯขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมาถึงต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นและทำให้นักลงทุนลดพอร์ตลงทุนในพันธบัตรลง
ขณะที่ปัจจัยต่อมาคือ การที่กลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกหรือ OPEC สามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ช่วยลดความกังวลเรื่องปริมาณน้ำมันเกิดความต้องการ ซึ่งบล.KTBST ประเมินว่า แนวโน้มจากนี้ไปราคาน้ำมันจะมีเสถียรภาพมากขึ้นเพราะจะมีความร่วมมือในแบบนี้ขึ้นอีก โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน WTI ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 55 – 60 เหรียญฯ
ส่วนปัจจัยสุดท้ายคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยทีเป็นแรงกระตุ้นตลาดหุ้นที่สำคัญ อันเป็นผลจากนโยบายรัฐบาล ในด้านต่างๆ จะส่งผลให้ GDP ไตรมาส 4 ไม่หดตัวอย่างที่คาดการณ์กัน ขณะเดียวกันจากการเร่งลงทุนดังกล่าวจะทำให้ ปี 2560 เศรษฐกิจจะยังขยายตัวดีเช่นกัน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในเดือน ธ.ค. บล.KTBST ประเมินว่า ทิศทางตลาดที่มีแนวโน้มในทางบวก จึงเป็นเดือนที่ควรสะสมหุ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่คาดว่าจะนำตลาดคือหุ้นใหญ่ในกลุ่มที่นักลงทุนสถาบันฯเข้าลงทุน กลุ่มที่ได้รับอานิสงค์จากมาตรการภาครัฐฯ (Domestic Play) นำโดยกลุ่มรับเหมาฯ เป็นต้น ประเด็นทีอาจจะส่งผลต่อได้ในดือนนี้จะเป็น การลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญของอิตาลีที่จะมีผลต่อการเมืองของอิตาลีและยุโรปในเรื่องการออกจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน และการ ประชุม FOMC (14 ธ.ค.) ขณะที่แรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจะมีผลต่อตลาดเช่นกัน โดย KTBST ยังมองเป้าหมาย SET Index เดือน ธ.ค. ที่ 1,550-1,580 จุด-สำนักข่าวไทย