กรุงเทพฯ 28 มี.ค. – ส.อ.ท.ระบุต้องการรัฐบาลโปร่งใสปราศจากคอร์รัปชั่น ยอมรับห่วงขึ้นค่าแรง
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวในงานพบสื่อมวลชนประจำปี ว่า ส.อ.ท.ในฐานะภาคเอกชนต้องการได้พรรคการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศมีความโปร่งใส ไม่มีปัญหาการคอร์รัปชั่น และมีนโยบายที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ควรเดินหน้าลดขนาดภาคราชการร้อยละ 40 เหลือเพียงร้อยละ 60 พร้อมปรับเงินเดือนข้าราชการสูงขึ้น อย่างเช่นประเทศสิงคโปร์ เพื่อลดปัญหาคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่ควรจัดให้มีการทำงานร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยการตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) สำหรับส่วนกลาง โดยควรมีการจัดประชุมอย่างน้อย 2 เดือนครั้ง เพื่อร่วมหานโยบายผลักดันเศรษฐกิจ
สำหรับความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลนั้น ไม่มีผลต่อการลงทุนเดิมหรือการลงทุนใหม่ แต่จะมีผลต่อการพิจารณาและตัดสินใจนานขึ้น แต่การดำเนินการขอการลงทุนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก็ยังสามารถดำเนินการได้ปกติ รวมถึงการจับจ่ายซื้อสินค้าของภาคประชาชนก็ยังซื้อปกติโดยเฉพาะสินค้าจำเป็น แต่หากกรณีสินค้าที่มีมูลค่าสูงอาจจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจได้จากงานมอเตอร์โชว์ที่ยังมีการสั่งซื้อ และการเติบโตด้านผลิตและส่งออกรถยนต์ก็ยังขยายตัว แต่ยอมรับว่ามีกระทบด้านจิตวิทยา เพราะแต่ละคนต่างเชียร์ฝ่ายที่ตนชอบ การไม่ชัดเจนช่วงนี้ก็จะทำให้เกิดภาวะอึดอัดและทำให้มีโอกาสที่มีความเห็นไม่ตรงกันจากปัญหาการเมืองตามมาได้
ส่วนโครงการใหญ่อย่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี จากการจัดให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ทุกพรรคเห็นด้วยกับโครงการอีอีซี แต่บางพรรคเห็นว่าจะต้องขยายออกไปให้ทั่วประเทศหรืออื่น ๆ แตกต่างออกไปบ้าง แต่โครงการลงทุนหลักของอีอีซี เชื่อว่าไม่มีการปรับเปลี่ยน แต่สำหรับนโยบายประชานิยม พรรคการเมืองมีนโยบายหลากหลายและมองว่าน่าจะมีการปรับเปลี่ยน และต้องการให้ประชาชนรากหญ้า กลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้รับการช่วยเหลือมากขึ้น เรื่องนี้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานที่ดูแลต้องพิจารณาจัดหางบประมาณรองรับได้มากน้อยเพียงใดกับรายจ่ายที่จะตาม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคการเมืองที่จะเข้ามาบริหารประเทศอาจจะต้องเร่งปรับภาพพจน์ให้เกิดความเชื่อมั่น ว่า มีการทำงานอย่างโปร่งใส ชัดเจน มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือแม้จะประชาชน
ส่วนการปรับค่าแรง ส.อ.ท.มีความกังวลมากตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง โดยเห็นว่าจะต้องจ่ายตามทักษะฝีมือแรงงาน หรือจัดทำค่าแรงแนะนำ เพื่อเป็นแนวทางให้กับเอกชน รวมถึงเรื่องมาตรฐานวิชาชีพ ค่าแรงขั้นต่ำ เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันคนไทยไม่ทำงานเหล่านี้ หากมีการปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์ คือ ต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย อีกทั้งจะทำให้เงินหายไปจากระบบเศรษฐกิจถึงปีละ 200,000 ล้านบาท หากประเทศสามารถนำเงินส่วนนี้หมุนเวียนภายในประเทศก็จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนภายใน ซึ่งต้องการให้หน่วยงานภาครัฐที่จะเข้ามาดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังต่อไป. -สำนักข่าวไทย