จันทบุรี 8 มี.ค. – สหกรณ์ชาวสวนผลไม้จันทบุรีจับคู่ค้าโมเดิร์นเทรด ไม่จำหน่ายทุเรียนอ่อน-ด้อยคุณภาพ รักษาภาพลักษณ์ผลไม้จังหวัด
นายกฤษฏา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการลงนามความร่วมมือระหว่างสหกรณ์การเกษตรชาวสวนผลไม้กับห้างสรรพสินค้าและโมเดิร์นเทรด ซึ่งจับคู่ค้ารับซื้อผลผลิต โดยเฉพาะทุเรียน ผลไม้ที่เป็นพืชเศรษฐกิจของจังหวัดจันทบุรีและภาคตะวันออก
นายกฤษฎา กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ มีนโยบายให้กลุ่มเกษตรกรผลิตสินค้าการเกษตรที่มีคุณภาพ จึงขอให้เกษตรกรซื่อสัตย์ ไม่ตัดทุเรียนอ่อนขาย ปัจจุบันหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมส่งเสริมการเกษตรเข้ามาส่งเสริมการผลิตแบบประณีต อีกทั้งปัจจุบันกรมวิชาการเกษตรมีเทคโนโลยีตรวจสอบความอ่อนแก่ของทุเรียน ด้วยวิธีวัดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน ได้แก่ พันธุ์หมอนทองกำหนดที่ 32 เปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้ง พวงมณี 30 เปอร์เซ็นต์ ชะนี 30 เปอร์เซ็นต์ และกระดุม 27 เปอร์เซ็นต์ เมื่อทำข้อตกลงซื้อขายกับภาคเอกชน ขอให้รักษามาตรฐานและคุณภาพของผลผลิต ทำให้สามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างยั่งยืน
นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้องการให้เกษตรกรรวมกลุ่มทำเกษตรกรรมเป็นรูปแบบสหกรณ์การเกษตรแปลงใหญ่ และวิสาหกิจชุมชน เนื่องจากสามารถซื้อปัจจัยการผลิตราคาต่ำกว่าการแยกซื้อเป็นราย ๆ และขายผลผลิตได้โดยไม่ถูกกดราคาจากคนกลาง นอกจากนี้ ยังแนะนำให้ชาวสวนปลูกพืชหลากหลายเนื่องจากปีที่ผ่านมาทุเรียนราคาดีเกษตรกรโค่นไม้ผลอื่นมาปลูกทุเรียนมาก เพื่อไม่ให้อีก 4 -5 ปีทุเรียนชุดที่ปลูกเพิ่มนี้จะเริ่มให้ผลผลิตต้องประสบปัญหาราคาตกต่ำ โดยอาจปลูกกาแฟ โกโก้ เนื่องจากสภาพอากาศภาคตะวันออกชุ่มชื้นคล้ายภาคใต้ อีกทั้งตลาดยังต้องการผลผลิตกาแฟและโกโก้อีกมาก จึงจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่มีอนาคต
จากนั้นนายกฤษฎา ได้ตรวจเยี่ยมตลาดกลางผลไม้เนินสูง อำเภอท่าใหม่ ซึ่งขณะนี้เป็นต้นฤดูกาลที่ทุเรียนออกสู่ตลาด ซึ่งราคาพันธุ์หมอนทองกิโลกรัมละ 120 บาท พันธุ์พวงมณีกิโลกรัมละ 180 บาท ซึ่งได้ย้ำผู้ค้าไม่ให้จำหน่ายทุเรียนอ่อนอย่างเด็ดขาด
ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีได้ออกประกาศจังหวัดขอความร่วมมือเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้จำหน่ายไม่ซื้อ-ไม่ขายทุเรียนด้อยคุณภาพ การกำหนดเปอร์เซ็นต์น้ำหนักแห้งในเนื้อทุเรียน และมาตรการดำเนินคดีแก่ผู้จำหน่ายทุเรียนด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 เข้าข่ายการหลอกลวง มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกทั้งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนสามารถแจ้งความดำเนินคดีที่สถานีตำรวจทุกแห่ง.-สำนักข่าวไทย