กรมปศุสัตว์ย้ำกฎหมายใหม่คุ้มครองคนและสัตว์

กรุงเทพฯ 31 ม.ค. – กรมปศุสัตว์ย้ำกฎหมายใหม่คุ้มครองคนจากการถูกสัตว์ทำร้ายและช่วยเหลือสัตว์ถูกทารุณ คาดอีก 20 ปี จะมีสุนัขจรจัดมากถึง 5 ล้านตัว เสี่ยงโรคพิษสุนัขบ้าระบาดรุนแรง  


นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์สุนัขจรจัดทำร้ายคนบ่อยครั้ง อีกทั้งยังเกิดการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในหลายพื้นที่ เนื่องจากยังไม่มีกฎหมายที่ออกมาบังคับใช้ เพื่อควบคุมประชากรสัตว์จรจัด ซึ่งเป็นพาหะที่ทำให้เกิดโรคระบาด โดยเฉพาะโรคพิษสุนัขบ้าที่อันตรายถึงชีวิต ผลการสำรวจเมื่อปี 2550 ประเทศไทยมีสุนัขจรจัดประมาณ 350,000 ตัว และปี 2560 ประเทศไทยมีสุนัขจรจัดประมาณ 820,000 ตัว ดังนั้น หากมีการเพิ่มประชากรสุนัขและแมวจรจัดลักษณะทวีคูณเช่นนี้ คาดว่าปี 2570 ประเทศไทยจะมีสุนัขจรจัด ประมาณ 1.92 ล้านตัว และในอีก 20 ปีข้างหน้าจะมากถึง 5 ล้านตัว ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ทั้งด้านสุขอนามัย โรคระบาด และเป็นภาระเงินงบประมาณของรัฐบาลอย่างสูง 

นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าวว่า ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า ทำให้ไทยต้องใช้เงินปีละกว่า 1,000 ล้านบาท โดยใช้เป็นค่าวัคซีนสำหรับคนที่สัมผัสโรคปีละ 400,000 ชุด เป็นเงิน 480 ล้านบาท ค่าวัคซีนสำหรับสัตว์ปีละ 8 ล้านโด๊ส เป็นเงิน 120 ล้านบาท ค่าผ่าตัดทำหมันสัตว์จรจัดปีละ 300,000 ตัว เป็นเงิน 400 ล้านบาท ดังนั้น หากไม่มีการแก้ไขปัญหานี้คาดว่าปี  2580 จะมีสุนัขจรจัดมากสูงขึ้นอีกประมาณ 6.1 เท่า ต้องใช้งบประมาณแก้ปัญหาสัตว์จรจัดปีละกว่า 30,000 ล้านบาท 


ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์ได้จัดทำ (ร่าง) พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ (ฉบับที่..) พ.ศ. …. ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการทอดทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ ปัญหาสัตว์จรจัด และเพิ่มความรับผิดชอบของเจ้าของสัตว์ ทั้งนี้หากควบคุมประชากรสัตว์จรจัดได้ รวมทั้งสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบแก่เจ้าของสัตว์ในการพาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนและทำหมัน เลี้ยงแล้วไม่นำมาปล่อยทิ้งจะแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ขณะนี้ได้เปิดให้ประชาชนร่วมกันแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ที่เว็บไซต์ http://www.dld.go.th/th/index.php/th/legal-dld-menu/draftact-menu/18384-draft-vetservice  โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวกรมปศุสัตว์เสนอขอให้พิจารณาร่วมกับร่าง พ.ร.บ.ชื่อเดียวกันที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอและกำลังรอการพิจารณาร่วมกันแล้ว ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้ผ่านความเห็นชอบ แต่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำกลับมาพิจารณาแก้ไขไม่ให้เป็นภาระกับประชาชนมากเกินสมควรก่อนส่งให้ สนช.พิจารณาประกาศใช้เป็นกฎหมาย

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวถึงสาระสำคัญในร่าง พ.ร.บ. ว่า เมื่อประกาศใช้แล้วยังไม่มีผลบังคับให้เจ้าสัตว์เลี้ยงต้องนำสัตว์ไปขึ้นทะเบียน เพียงแต่ให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ออกข้อบัญญัติท้องถิ่นบังคับให้เจ้าของสัตว์มาขึ้นทะเบียนสัตว์ของตน โดยให้งดเก็บค่าธรรมเนียมขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง ระยะเวลา 3 ปีแรก จากนั้น อปท.จะเก็บหรือไม่เก็บค่าธรรมเนียมต่อก็ได้ แต่หากเรียกเก็บจะต้องเก็บไม่เกินประกาศที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ กำหนด ซึ่งประกาศของรัฐมนตรีจะพิจารณาจากค่าใช้จ่ายในการทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ แต่ต้องไม่เกินตัวละ 170 บาท ทั้งนี้ เงินค่าธรรมเนียมและเงินค่าปรับจากพ.ร.บ.ฉบับนี้จะเป็นเงินรายได้ของท้องถิ่น เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ การทำเครื่องหมายประจำตัวสัตว์ได้แก่ ค่าไมโครชิป หรือคิวอาร์โค้ด ตลอดจนเป็นค่าฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า นอกจากนี้ ท้องถิ่นจะนำไปใช้สร้างศูนย์พักพิงสัตว์จรจัด ค่าอาหารสัตว์จรจัด ค่าผ่าตัดทำหมันและค่าวัคซีน ส่วนสัตว์ที่อยู่ในสถานสงเคราะห์สัตว์ รวมทั้งในวัดและบ้านที่เก็บสัตว์จรจัดมาเลี้ยงไม่ต้องขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง แต่ต้องมาแจ้งขอเป็นสถานสงเคราะห์สัตว์ตามกฎหมาย และกรมปศุสัตว์จะบริการฉีดวัคซีน ผ่าตัดทำหมัน และดูแลสุขภาพสัตว์ให้ด้วย

อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะลดปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากสัตว์จรจัด ลดปัญหาการทารุณกรรมสัตว์ การถูกสัตว์ทำร้าย ส่วนสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนจะได้รับประโยชน์ คือ ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า หรือเมื่อหายออกจากบ้านแล้วมีผู้พบจะได้นำส่งคืนเจ้าของได้ไม่เสี่ยงกับการต้องเป็นสัตว์จรจัด ถูกสัตว์อื่นทำร้าย หรือถูกรถชน ทั้งนี้ เป็นเพียงขั้นตอนแรกของการแก้ปัญหาสัตว์จรจัด ซึ่งจะต้องมีการสร้างและการนำสัตว์จรจัดเข้าศูนย์พักพิงสัตว์จรจัด การผ่าตัดทำหมัน การป้องกันการทิ้งสัตว์ในที่สาธารณะ การสร้างจิตสำนึกและรับผิดชอบของเจ้าของสัตว์  


สำหรับขั้นตอนการออกกฎหมายนั้น เมื่อประชาชนร่วมกันแสดงความคิดเห็นพร้อมขอเหตุผลประกอบแล้ว กรมปศุสัตว์จะนำความคิดเห็นทั้งหมดบันทึกสำหรับอ้างอิงในการจัดทำรายงานสรุปผลการรับฟัง เพื่อเสนอให้ สนช.พิจารณา โดยจะต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณา 3 วาระ ก่อนจะประกาศเป็นกฎหมายต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด

29 ก.ค.- โฆษกทบ. เผยเลื่อนคุย ‘ทหารไทย-กัมพูชา’ ไม่มีกำหนด ยังนัดหมายพบปะกันไม่ได้ แต่พยายามอยู่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 โดยฝ่ายไทย พล.ท.อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาค1 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 และฝ่ายกัมพูชา พล.อ.โปว เฮง ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พล.อ.แอก ซอมโอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 5 ทั้ง 2 ฝ่ายยังนัดหมายพบปะไม่ได้ เลื่อนไป ยังไม่มีระบุเวลา (เดิมเวลา 10.00 น.) แต่ยังพยายามอยู่ -สำนักข่าวไทย

“แพทองธาร​” ไม่แปลกใจ กัมพูชาไม่เป็นสุภาพบุรุษ

ทำเนียบ 29 ก.ค.- “แพทองธาร​” ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษของ “กัมพูชา” หลังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ชี้ต้องฟ้อง ปท. ที่เข้ามาเป็นพยานด้วย บอก​ จะถาม “ภูมิธรรม” ให้ ต้องออกแถลงการณ์โต้หรือไม่​ นางสาวแพทองธาร​ ชินวัตร​ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม​ กล่าวถึงกรณีกัมพูชาละเมิดข้อตกลง​หยุดยิง ว่า​ เมื่อสักครู่​ ได้อัปเดตกับทางทีมงาน​ มีการพูดคุยกันว่า​ ถ้าเป็นแบบนี้​ ก็ต้องมีการแจ้งให้ประเทศที่เข้ามาเป็นพยานได้ทราบด้วย​ ว่า​ เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น​ แต่ไม่แปลกใจกับความไม่เป็นสุภาพบุรุษอยู่แล้ว​ เมื่อถามว่ารัฐบาลจะต้องมีการออกแถลงการณ์อีกครั้งหรือไม่​ หลังจากกัมพูชาไม่หยุดยิง นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า เดี๋ยวอันนั้นจะสอบถามนายภูมิธรรม​ เวช​ย​ชัย​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี​.-315 -สำนักข่าวไทย

กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล

29 ก.ค.- กองทัพไทยย้ำ! ใช้สิทธิป้องกันตนเองตามกฎหมายสากล เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติและประชาชน หลังกัมพูชาจงใจละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ทำลายความเชื่อมั่นในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดทางสู่สันติภาพและความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น วันที่ 29 กรกฎาคม 2568 พลตรี วิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ระบุกองทัพไทย ได้รับการยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด หยุดยิงทุกพื้นที่ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา โดยยึดมั่นในคำมั่นสัญญาที่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายได้ร่วมกันให้ไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหลังจากกำหนดหยุดยิง ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้อาวุธยิงเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในหลายจุด ถือเป็นการกระทำที่ จงใจละเมิดข้อตกลง และบ่อนทำลายความเชื่อมั่น ที่ควรมีต่อกันในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพไทย ขอประณามพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชา และขอยืนยันว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการโต้กลับ ภายใต้สิทธิในการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ไทยมิได้ใช้กำลังเพื่อรุกราน แต่เพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ และความปลอดภัยของประชาชน “เมื่อเราหยุด แต่เขาไม่หยุด…โลกต้องได้รับรู้ว่า กัมพูชาคือผู้ละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่ายที่ไม่เคารพกติกาสากล ไม่ยึดถือข้อตกลงระหว่างประเทศใด ๆ ที่ได้ประกาศไว้ในเวทีระดับโลก และเป็นภัยต่อความมั่นคงของภูมิภาคและของโลก” การยอมรับพฤติกรรมเช่นนี้ เท่ากับเปิดช่องให้ความอยุติธรรมกลายเป็นบรรทัดฐานในระบบระหว่างประเทศ […]

ทบ. ประณาม “กัมพูชา” ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

29 ก.ค.- ทบ. ประณาม “กัมพูชา”ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ขณะที่ไทยยึดมั่นพันธกรณีฯ อย่างเคร่งครัด แต่จำเป็นต้องปกป้องตัวเองตอบโต้อย่างเหมาะสม ขยับเวลาถกผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่เป็น 10 โมงเช้า วันที่ 29 กค.68 เวลา 7.30 น. พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาว่าตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการยุติการสู้รบทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งความสงบ ลดความตึงเครียด และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อนบ้านนั้น กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้ทำการหยุดยิง บริเวณพื้นที่แนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึง กำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตราการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล พลตรีวินธัย ยังระบุว่า เบื้องต้น การพบปะผู้นำหน่วยทหารในพื้นที่ มีการขยับเวลา […]