เซ็นทรัลเวิลด์ 30 ม.ค.-นายกฯชวนรมต.นั่งจิบชาหลังเปิดมหกรรมสร้างการตระหนักรู้ ย้ำมีคำตอบอนาคตการเมืองในใจแล้ว รับถ้าเล่นการเมืองเต็มตัว ต้องปรับเรื่องความอดทน แต่ไม่กลัวถูกคุ้ยเรื่องส่วนตัว ไม่กลัวตรวจสอบ
ภายหลังเป็นประธานเปิดงานมหกรรมการสร้างการตระหนักรู้ต่อยุทธศาสตร์ชาติ อนาคตไทย อนาคตเรา ที่ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะรองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่ากากรกระทรวงมหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และข้าราชการบางส่วนที่มาร่วมงานบางส่วน ดื่มน้ำชารับประทานขนมในห้างดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นครั้งแรกที่ได้มานั่งในบรรยากาศผ่อนคลายเช่นนี้ ในช่วงเวลาหลาย 10ปี นับแต่ดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ เนื่องจากมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยติดตามจำนวนมาก และไม่ต้องการรบกวนประชาชน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้หารือประเด็นการแก้ปัญหาลดฝุ่นละอองในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยจะไม่ออกเป็นคำสั่งคสช. ฉบับใหม่ เนื่องจากมีคำสั่งฉบับเดิมให้อำนาจทหาร เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานอยู่แล้ว โดยเฉพาะกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ที่มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารและพลเรือนเข้าไปช่วยดำเนินการ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ประจำมีจำนวนไม่เพียงพอ โดยจะสั่งการเพิ่มเติมให้เข้าร่วมตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรม ที่อาจมีส่วนสร้างฝุ่นละออง โดยให้ดำเนินการแบบปูพรมทั่วประเทศเริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ต้องห้ามเผาหญ้าและตอซังข้าว เพื่อช่วยแก้ปัญหาฝุ่นควัน ซึ่งไม่ใช่การรังแกชาวนาตามที่วิจารณ์กัน และไม่ต้องการให้ใครหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมือง
ส่วนคำว่าประชารัฐซึ่งเป็นแนวทางการทำงานของรัฐบาล คล้ายกับชื่อของพรรคการเมืองหนึ่ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นแนวทางของรัฐบาลที่มีมาก่อนพรรคการเมือง และใช้มานานแล้ว ส่วนพรรคการเมืองจะหาชื่อตั้งขึ้นเพื่อให้สอดคล้องก็ไม่เกี่ยวข้องกัน พร้อมยกตัวอย่าง เช่น พรรค ทษช.สื่อมวลชนก็รู้ว่ามีหมายความอย่างไร ดังนั้นแนวทางประชารัฐ เป็นหลักการทำงาน หากเป็นเรื่องที่ดีก็ควรสานต่อ ไม่ใช่ทำลายทิ้ง
“ช่วงนี้พยายามชี้แจงเรื่องทำไมประเทศไทยต้องมีทหาร เนื่องจากเริ่มมีกระแสพาดพิงถึงทหาร ทุกพรรครุมทหาร คล้ายกับเป็นลักษณะการต่อสู้ ระหว่างพรรคทหารกับพรรคประชาธิปไตย ซึ่งมีปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องต่อสู้กันเอง อยากให้เลิกเสียทีการเมืองแบบนี้ ส่วนการตัดสินใจอนาคตทางการเมือง คำตอบยังคงอยู่ในใจ ขณะนี้มีหลายพรรคการเมืองสนับสนุนผม แต่ปัญหาคือเลือกได้เพียงพรรคเดียว จึงต้องขอดูนโยบายก่อนว่าเป็นอย่างไร” นายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนที่พรรคพลังประชารัฐมีนโยบายที่สานต่อนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่เห็นนโยบายของพรรคใด เนื่องจากพรรคนั้นจะต้องทำนโยบายส่งมาให้ดูก่อน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีพรรคใด ส่งเทียบเชิญอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ผู้ที่ให้การสนับสนุนตนเป็นนายกรัฐมนตรี อาจหมายถึงการเสนอในบัญชีรายชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคหรือเพียงแค่สนับสนุนเรื่องของการบริหารราชการแผ่นดินก็เป็นได้
“ถ้าผมตัดสินใจเข้าสู่เวทีการเมืองแบบเต็มตัว ก็ต้องปรับตัวเองให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องความอดทน ส่วนเรื่องการปฏิบัติตัว นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายได้ ให้คำแนะนำในข้อที่สงสัยครบแล้ว แต่บางประเด็นยังต้องรอคำตอบจาก กกต. เช่น การลงพื้นที่ตรวจราชการต่างจังหวัด การจัดรายการโทรทัศน์ แม้จะเป็นการชี้แจงการทำงานที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลก็ตาม เพื่อไม่ต้องการให้เกิดการโต้เถียงหรือความขัดแย้งภายหลัง” นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หากต้องลงมาทำงานการเมืองเต็มตัวก็ไม่กังวลว่าจะเปลืองตัวหรือถูกกล่าวหาทางการเมือง พาดพิงถึงเรื่องส่วนตัวและครอบครัว เพราะไม่เคยมีปัญหาเรื่องส่วนตัวหรือกลัวการตรวจสอบ เพราะหากกลัวจะไม่ก้าวเข้ามาตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แต่ที่กลัวมากกว่า คือกลัวบ้านเมืองเสียหาย กลัวต้องอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งดังเดิม พร้อมฝากข้อความถึงกองหนุนลุงตู่ คาดหวัง 4ปีที่ทำงานมา ประชาชนจะจดจำบทเรียนในอดีต และไม่ทำให้กลับไปเป็นแบบเดิม ยอมรับกองหนุนเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจเรื่องอนาคตทางการเมือง
จากนั้นนายกรัฐมนตรีทักทายประชาชนในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติที่ให้ความสนใจเข้ามาทักทายและถ่ายภาพอย่างใกล้ชิด.-สำนักข่าวไทย
