กรุงเทพฯ 30 ม.ค.-ปตท.สผ.มีผลกำไรสุทธิปี 61เพิ่มขึ้น ร้อยละ89 ทั้งจากปริมาณการขายและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จ่ายปันผล 5 บาทต่อหุ้นเร่งตัดสินใจเดินหน้าเชิงรุกขยายการลงทุน
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า ผลประกอบการปี 2561 ของบริษัท มีกำไรสุทธิ 1,120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (สรอ.) (เทียบเท่า 36,206 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นร้อยละ 89 จาก 594 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 20,579 ล้านบาท) ในปี 2560 โดยหลักจากปริมาณการขายและราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยสูงขึ้น พร้อมลงทุนตามแผนกลยุทธ์ ผลักดันการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายของโครงการหลัก เร่งกิจกรรมสำรวจเพื่อเพิ่มปริมาณปิโตรเลียมสำรอง โดยะมุ่งลงทุนในพื้นที่ยุทธศาสตร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง
สำหรับปริมาณการขายเฉลี่ยปี 2561 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 305,522 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน จาก 299,206 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ในปี 2560 ซึ่งมาจากการเข้าซื้อสัดส่วนการลงทุนเพิ่มเติมร้อยละ 22.2222 ในโครงการบงกช ทำให้ ปตท.สผ.มีสัดส่วนการลงทุนรวมร้อยละ 66.6667 ส่งผลให้ปริมาณการขายและกระแสเงินสดเพิ่มขึ้นทันทีหลังจากการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน 2561 สำหรับราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบโลก มาอยู่ที่ 46.66 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 19 จาก 39.20 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ในปี 2560
สำหรับรายได้รวมในปี 2561 ของ ปตท.สผ. อยู่ที่ 5,459 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 176,687 ล้านบาท) และมีรายจ่ายและค่าใช้จ่ายทางภาษีรวมทั้งสิ้นที่ 4,339 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 140,481 ล้านบาท) ทั้งนี้ ต้นทุนต่อหน่วยในปีที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่ 31.7 ดอลลาร์สรอ. ต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ โดยเป็นผลจากค่าภาคหลวงที่ปรับตัวตามรายได้จาการขาย รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของโครงการบงกช อย่างไรก็ตาม ปตท.สผ. ยังคงมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยในปีที่ผ่านมามีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน จำนวน 3,276 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 106,058 ล้านบาท) และมีระดับอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA Margin) ที่ร้อยละ 73
“ตั้งแต่ปีนี้ จะเห็น ปตท.สผ. เดินหน้าเชิงรุกมากขึ้น อาทิ ล่าสุดบริษัทได้รับสัมปทานแปลงสำรวจปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง 2 แปลงในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทำให้ ปตท.สผ. ได้เข้าไปลงทุนในตะวันออกกลางซึ่งเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์การลงทุนอีกครั้ง รวมทั้ง เป็นโอกาสให้เราได้ร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานระดับโลก สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ใหม่ของ ปตท.สผ. “Energy Partner of Choice” ที่มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย”นายพงศธรกล่าว
นายพงศธร กล่าวต่อว่า ปตท.สผ. จะเร่งผลักดันการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการหลักที่อยู่ระหว่างรอการพัฒนา โดยเฉพาะโครงการโมซัมบิก โรวูมา ออฟชอร์ แอเรีย วัน ซึ่งคาดว่าจะตัดสินใจลงทุนได้ตามแผนภายในครึ่งแรกของปี 2562 นี้ นอกจากนั้น จะเร่งรัดกิจกรรมการสำรวจในโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและมาเลเซีย รวมทั้งมองหาโอกาสเข้าลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลางเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตและเพิ่มปริมาณสำรองให้กับบริษัทได้ในอนาคต
สำหรับแหล่งบงกชและเอราวัณในอ่าวไทยนั้น หลังจากกระทรวงพลังงานประกาศให้ ปตท.สผ. เป็นผู้ชนะการประมูลแหล่งก๊าซธรรมชาติทั้ง 2 แหล่งเมื่อเดือนธันวาคม 2561 ที่ผ่านมา ขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างรอการลงนามในสัญญาแบ่งปันผลผลิต เพื่อเริ่มดำเนินงานตามแผนงานต่างๆ ที่วางไว้ในการรักษาปริมาณการผลิตของทั้งสองแหล่งตามแผนงาน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
จากผลประกอบการข้างต้น คณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2562 อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผล สำหรับปี 2561 ที่ 5 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ปตท.สผ. ได้จ่ายสำหรับงวด 6 เดือนแรกไปแล้วในอัตรา 1.75 บาทต่อหุ้น ส่วนที่เหลืออีก 3.25 บาทต่อหุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 และจะจ่ายในวันที่ 11 เมษายน 2562 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2562 แล้ว -สำนักข่าวไทย