กรุงเทพฯ 2 ก.ย. – เอ็กโก้กรุ๊ปเตรียมเข้าพบกระทรวงพลังงานเสนอแผนสร้างโรงไฟฟ้าทั้ง “ขนอม” ส่วนขยายและบีแอลซีพี 2 ทดแทนโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ล่าช้า ระบุค่าไฟฟ้าจะต่ำลง พร้อมเดินหน้าเพิ่มกำลังผลิตเป็น5 พันเมกะวัตต์ในปี 2562 เล็งหาโรงไฟฟ้าเพิ่มเน้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยโรงไฟฟ้าน้ำเทิน 1 ทาง กฟผ.อนุมัติพีพีเอแล้ว
นายชนินทร์ เชาว์นิรัติศัย กรรมการผู้จัดการใหญ่เอ็กโก้กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถือหุ้นร้อยละ 25 กล่าวว่า บริษัทเตรียมเสนอกระทรวงพลังงานว่าบริษัทในเครือมีความพร้อมที่จะก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินบีแอลซีพีโรงที่ 2 จังหวัดระยอง 1,000 เมกะวัตต์ ทดแทนโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ล่าช้าทั้งโครงการของเอกชนและโครงการโรงไฟฟ้ากระบี่ที่ล่าช้ากว่าแผนไปแล้ว 1 ปี โดยโครงการบีแอลซีพี2 ได้รับความเห็นชอบแผนอีเอชไอเอ หรือแผนศึกษาการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพจากคณะกรรมการชำนาญฯ สำนักนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2559 และจะเสนอขอก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนอมโครงการใหม่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงอีกไม่ต่ำกว่า 500 เมกะวัตต์ จากโรงปัจจุบันเดินเครื่อง 930 เมกะวัตต์
ซึ่งจากทั้ง 2 โครงการที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมแล้วก็จะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลงเมื่อเทียบกับโรงใหม่ นับเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและยังกระจายเชื้อเพลิงเพราะตามแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว 20 ปี (พีดีพี) จะมีถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25
“โรงไฟฟ้าถ่านหินขณะนี้ล่าช้ากว่าแผนพีดีพี โครงการบีแอลซีพี 2 จะเป็นทางเลือกสร้างความมั่นคงและต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำ ขณะที่หากได้สร้างโรงไฟฟ้าขนอมเพิ่มก็จะทำให้ช่วยสร้างความมั่นคงแก่ภาคใต้และการเสนอรัฐบาลก็จะแจ้งว่าบริษัทร่วมทุนในฟิลิปปินส์ คือ เออีเอสในสหรัฐมีความพร้อมด้านการลงทุนแบตเตอรี่รองรับพลังงานทดแทนด้วย” นายชนินทร์ กล่าว
เอ็กโก้ ระบุว่าบริษัทยังเดินหน้าขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศเน้นโครงการในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิก ปัจจุบันมีกำลังผลิตประมาณ 4,000 เมกะวัตต์ และมี 7 โครงการกำลังดำเนินการ ดังนั้น ปี2562 จะมีกำลังผลิตรวม 5,000 เมกะวัตต์ โดยกำลังผลิตในต่างประเทศจะเพิ่มจากร้อยละ 33 เป็นร้อยละ 50 ซึ่งโครงการล่าสุดในไทยที่ก่อสร้างเสร็จและเข้าระบบแล้ว คือ โรงไฟฟ้าขนอมหน่วยที่ 4 จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเสริมสร้างความมั่นคงโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-6 ทุกปี โดยปัจจุบันกำลังผลิตในภาคใต้ไม่เพียงพอต้องต้องส่งผ่านสายส่งจากภาคกลางมาใต้
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 บริษัทฯ ได้ซื้อหุ้นเพิ่มร้อยละ 8.05 ในบริษัท มาซินลอค พาวเวอร์ พาร์ทเนอร์ จำกัด ในประเทศฟิลิปปินส์ เป็นผลให้เอ็กโก กรุ๊ป มีสัดส่วนการถือหุ้นในโรงไฟฟ้ามาซินลอคร้อยละ 49 พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังรับรู้รายได้เพิ่มจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้าใหม่ของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “สตาร์ เอนเนอร์ยี่” อินโดนีเซีย ซึ่งสูงขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 40 ด้วย
“เอ็กโก้ยังเชื่อมั่นทั้งปีจะมีกำไรจากการดำเนินงาน 8,000 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกมีกำไรจากการดำเนินงาน 4,299 ล้านบาท เพราะมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั้งจากในและต่างประเทศโดยเป้าหมายของบริษัทจะคงผลตอบแทนผู้ถือหุ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10″ นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และ จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบตั้งแต่ปี 2559-2562 เอ็กโก กรุ๊ป ยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ ในต่างประเทศอีก 5 โครงการ ได้แก่ สปป.ลาว มี 2 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “ปากแบง” กำลังการผลิต 912 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ “น้ำเทิน 1” กำลังการผลิต 650 เมกะวัตต์ โดยโครงการนี้ได้รับความเห็นชอบสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (พีพีเอ) จาก กฟผ.แล้วและคาดว่าจะลงนามสัญญาได้ต้นปี 2560, โครงการในอินโดนีเซีย มี 1 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพ “สตาร์ เอนเนอร์ยี่ ส่วนขยาย (หน่วยที่ 3 และ 4)” กำลังการผลิตหน่วยละ 60 เมกะวัตต์ เวียดนาม มี 1 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน “กวางจิ” กำลังการผลิต 1,220 เมกะวัตต์ และเมียนมาร์ มี 1 โครงการ คือ โครงการโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมทวาย.- สำนักข่าวไทย