กรุงเทพฯ 3 ม.ค. – ก.อุตฯ แนะเอสเอ็มอีไทยที่พึ่งพิงผลิตสินค้าส่งขายบริษัทยักษ์ใหญ่ที่กิจการไม่ค่อยดี ให้เร่งปรับตัวเสริมธุรกิจใหม่ พร้อมก้าวเข้าสู่การค้าออนไลน์ เผยขณะนี้ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์บางรายหันไปผลิตชิ้นส่วนอากาศยานและอุปกรณ์ทางการแพทย์
นายสมชาย หาญหิรัญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปีนี้เอสเอ็มอีไทยจะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว โดยเฉพาะเอสเอ็มอีกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบางอุตสาหกรรมที่ขณะนี้สถานการณ์ไม่ค่อยจะดีนัก เพราะเอสเอ็มอีกลุ่มนี้จะมีความยากลำบากในการประกอบธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากสินค้ามีการแข่งขันสูง ทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจ การออกแบบผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี รวมถึงการตลาด ส่งผลให้สินค้ามีอายุในตลาดสั้นลง เพราะเมื่อวางสินค้าได้ไม่นานก็มีสินค้าคู่แข่งขันออกมาแข่งขันในคุณสมบัติและลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น เอสเอ็มอีที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้และกำลังได้รับผลกระทบจะต้องปรับตัวเองให้มาก
นายสมชาย กล่าวว่า ขณะนี้เอสเอ็มอีกลุ่มที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานบริษัทยักษ์ใหญ่ เอสเอ็มอีบางส่วนเริ่มปรับตัวด้วยการเพิ่มหรือขยายการทำธุรกิจออกไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ที่อาศัยความเชี่ยวชาญจากธุรกิจเดิม และกลุ่มนี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้น เช่น ขณะนี้กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์บางส่วนเริ่มขยายและปรับเปลี่ยนธุรกิจออกไปสู่การผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน บางส่วนปรับตัวจากเดิมรับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ก็เริ่มขายสินค้าที่ผลิตขึ้นในยี่ห้อของตัวเอง โดยขายสินค้าในตลาดซ่อมบำรุงรถยนต์ เป็นสินค้าอะไหล่ ขณะที่บางผู้ประกอบการปรับตัวไปสู่อุตสาหกรรมทางการแพทย์ที่ไม่ใช้เทคโนโลยีสูงมากและไม่ใช้ร่างกายมนุษย์ แต่เป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับผู้ป่วย กลุ่มเอสเอ็มอีที่ปรับตัวเหล่านี้เริ่มมีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสิ่งที่กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นห่วง คือ กลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่มีความพร้อมในการปรับตัว หรือปรับตัวช้า เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการจะต้องปรับตัวให้เร็วและต้องเร็วกว่าคู่แข่งขัน เพราะขณะนี้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าชนิดเดียวกันได้จากทั่วโลก การแข่งขันไม่ได้มีเพียงเฉพาะในประเทศเท่านั้น เนื่องจากลูกค้าสามารถเลือกซื้อสินค้าจากผู้ขายทั่วโลกผ่านโทรศัพท์มือถือได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ต้องปรับตัวให้เร็วและขยายการค้าออกสู่ตลาดโลก ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมสนับสนุนให้เอสเอ็มอีไทยเข้าสู่การค้าอิเล็กทรอนิกส์ หรืออี-คอมเมิร์ซ
นายสมชาย กล่าวถึงภาพรวมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยปัจจุบันว่า มีผู้ประกอบการวม 5 ล้านราย ในจำนวนนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กมาก เช่น ผู้ประกอบการคนเดียวทำกิจการขายสินค้าหรือผลิตสินค้าต่าง ๆ รวมถึงขายอาหาร เป็นต้น กลุ่มนี้มีประมาณ 3 ล้านราย มีข้อจำกัด แต่มีศักยภาพในตลาดกลุ่มเฉพาะ และเริ่มมีการค้าออนไลน์มากขึ้น บางรายอยู่ระหว่างการเปลี่ยนถ่ายกิจการจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก บางแห่งหลังการเปลี่ยนถ่ายสู่รุ่นลูกมีการนำการค้าออนไลน์เข้ามาช่วยรวมถึงการทำตลาดยุคใหม่ ส่งผลให้สินค้าเดิมที่ผลิตอยู่และใกล้ล้มละลายก้าวสู่หน้าใหม่ของการค้าที่ดีกว่าเดิม ผลิตสินค้าไม่ทันขายแม้จะขายในราคาสูง เช่น ผ้าหมักโคลนที่จังหวัดบึงกาฬ เป็นต้น. -สำนักข่าวไทย