สำนักงานอัยการสูงสุด 24 ธ.ค.- รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แม้ทุกหน่วยงานทำเต็มที่ แต่อาจไปไม่ถึงทรัพย์ที่ควรยึด จึงต้องทำ MOU ร่วม กรมบังคับคดี- กลต.
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยถึงกรณีที่สำนักงานการบังคดี สำนักงานอัยการสูงสุดเตรียมร่วมลงนามความร่วมมือ (MOU)กับกรมบังคับคดีและสํานักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในการบังคับคดีกับผู้กระทําความผิดในการผิดนัด ไม่ชำระค่าปรับหลังมีคำตัดสินของศาล ว่า ประเด็นนี้จะมีทั้งในส่วนของคดี อาญาถึงที่สุดแล้ว เช่น คดียาเสพติด ลักวิ่งชิงปล้น กรรโชกทรัพย์ การทำธุรกรรมทางการเงินโดยการฉ้อฉล เมื่อศาลมีคำพิพากษาจำคุกและปรับแล้วแต่ ปรากฎว่าจำเลย ไม่จ่ายค่าปรับ และยังไม่สามารถติดตามบังคับเอาทรัพย์ให้ตกแก่แผ่นดินได้ คดีแพ่งที่ส่วนราชการของรัฐเป็นตัวความ ชนะคดีแล้วไม่มีการตั้งเรื่องบังคับคดียึดทรัพย์มาส่งมอบแก่รัฐ
นายโกศลวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันยอมรับว่ามีมากขึ้นทั่วประเทศ ส่วนเรื่องที่ทำให้ตัวเลขจำนวนค่าปรับ ที่ยังไม่จ่าย มีค่อนข้างเยอะมาก ถ้านับ เป็นคดีก็มีไม่ต่ำกว่าพันคดี ส่วนมูลค่ายังไม่ขอระบุเพราะต้องรอตัวเลขที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่วนปัญหาเรื่องนี้ ถ้าฝ่ายที่แพ้คดีแล้วมาจ่ายเงินก็จบ แต่ปัญหาคือไม่ยอมจ่ายพอไม่จ่ายหน่วยงานราชการก็ต้องทำหน้าที่ในการสืบหาทรัพย์ เพื่อนำเจ้าพนักงานไปยึดทรัพย์แต่ละหน่วยงานก็จะมีฝ่ายกฎหมายที่ทำหน้าที่ตามเรื่องทรัพย์สินที่ต้องยึดมาตกเป็นของแผ่นดินอยู่แล้วแต่ประเด็นนี้ต้องยอมรับว่า แต่ละหน่วยงานทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว แต่อาจไม่ได้ มีความเชี่ยวชาญในการตามหา หรือมองไม่เห็นทรัพย์สินจากแหล่งอื่นๆจึงมีความจำเป็นที่ต้องมาร่วมบูรณาการในการทำงาน ส่วนในต่างประเทศปัญหาลักษณะเช่นนี้ก็มีจึงต้องมีกฎหมายล้มละลายออกมา เช่นเดียวกับ ที่ประเทศไทยมี
“ไม่สำคัญว่าเงินจะน้อย หรือมาก ก็ต้องยึดคืนกลับคืนสู่แผ่นดิน ยืนยันว่าทุกหน่วยงานในภาครัฐทำอย่างดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพราะค่าปรับจำนวนน้อยเลยไม่เห็นความสำคัญ หรือปล่อยปะละเลยจนต้องกลายเป็นข่าว เพียงแต่อย่างที่ได้แจ้ง ความเชี่ยวชาญของคนเราต่างกัน ถ้าได้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญร่วมกันจะทำให้การรักษาผลประโยชน์ของรัฐได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น” รองโฆษกอัยการสูงสุดกล่าว
นายโกศลวัฒน์ กล่าวด้วยว่า แม้จะมีการตั้งสำนักงานการบังคับคดี สำนัก งานอัยการสูงสุด เพื่อติดตามตั้งเรื่องบังคับคดี ขอหมายบังคับขอออกคำบังคับ ออกสืบทรัพย์การรักษาผลประโยชน์ของรัฐ ซึ่งตาม พ.ร.บ.อัยการฯ มาตรา 14 กําหนดให้พนักงานอัยการมีอํานาจและหน้าที่ดําเนินคดี แทนรัฐบาล หน่วยงานของรัฐที่เป็นองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ ราชการส่วนกลางหรือราชการส่วนภูมิภาคและอื่นๆซึ่งก่อนจะดําเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์ สินของผู้กระทําความผิดหรือจําเลยได้นั้น ต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สิน สืบหาทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าวก่อน ซึ่งอาจอยู่ในรูปเงินฝาก ยานพาหนะ ที่ดิน หรือหุ้น เป็นต้น โดยการขอตรวจสอบข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐหรือเอกชน ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินดังกล่าว
จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการบังคับคดีตามกฎหมาย โดยผ่านเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม จึงมีความจำเป็นต้องร่วมมือกันจากหลาย ๆ หน่วยงาน เพื่อให้ได้ผลออกมาดีที่สุด.-สำนักข่าวไทย