มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 10 ธ.ค.-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวทีเสวนา หัวข้อ ฝ่าวิกฤติรัฐธรรมนูญปี 60 ตัวแทน 3 พรรคเห็นพ้องกันรัฐธรรมนูญ 60 ทำให้เกิดปัญหาหลายอย่าง ต้องแก้ไข
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวทีเสวนา หัวข้อ ฝ่าวิกฤตรัฐธรรมนูญปี 60 จัดโดยคณะประชาชนเพื่ออิสรภาพ (คปอ.) ซึ่งเชิญตัวแทนพรรคการเมืองจากพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคอนาคตใหม่ และนักวิชาการแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยนายโภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ แม้ว่าจะผ่านประชามติแต่ต้องดูด้วยว่าผ่านในสถานการณ์รัฐประหารหรือไม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากการเลือกตั้งส.ส.และส.ว.ก็เช่นกัน พยายามหาวิธีที่จะให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพที่มากขึ้น รวมทั้งการให้ส.ส.สังกัดพรรคและควรปล่อยให้การดำเนินการเป็นไปตามธรรมชาติ
“ทุกวันนี้ต้นตอของปัญหาทั้งหมดคือการคิดแบบอำนาจนิยมของคนในทุกระบบ และรัฐธรรมนูญไม่มีฉบับใดที่ไม่ให้ให้อำนาจประชาชน แต่ในความเป็นจริงอำนาจเป็นของคนนำไปใช้ นี่คือหัวใจใหญ่ของปัญหา หากไม่เปลี่ยนแปลงก็อยู่แบบเดิม ทางออกจึงต้องแก้รัฐธรรมนูญ และควรจะให้ประชาชนเป็นผู้เลือกว่าจะเอารัฐธรรมนูญฉบับไหน” นายโภคิน กล่าว
นายโภคิน กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับมาตรา 279 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่นิรโทษกรรมการยึดอำนาจให้กลายเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ต้องหยุดการกระทำใด ๆก็ตามที่เป็นความผิด จะมาบอกว่าไม่ผิดไม่ได้ วันนี้ต้องให้ศาลกลับมายืนข้างประชาชน วิกฤติสำคัญของรัฐธรรมนูญมาจากการครอบงำโดยวัฒนธรรม และความคิดของอำนาจนิยม ซึ่งหากแก้ไขสิ่งนี้ไม่ได้ วงจรปัญหาจะไม่สิ้นสุด และประเทศต้องวนเวียนกับการรัฐประหาร
ขณะที่ นายราเมศ รัตนเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลพวงจากรัฐธรรมนูญว่า นำมาสู่หลายปัญหา ที่เห็นชัดเจน คือกรณีบัตรเลือกตั้งที่เหลือเพียงใบเดียว และกำลังมีข้อเสนอไม่ให้มีชื่อและโลโก้พรรค หากดึงดันอาจทำให้ประเทศย้อนกลับสู่ความขัดแย้งและเจอวิกฤติทางการเมือง
“วันนี้มุมมองในภาคปฎิบัติ ขอให้นึกร่วมกันว่าวันนี้วันรัฐธรรมนูญเป็นวันที่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทย ส่วนวิกฤติรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญปี 60มาตั้งแต่แรก เพราะมองว่าขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่เมื่อผ่านประชามติ และมีมาตรา 44 ห้อยติดมาด้วย ซึ่งใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 เสียอีก จากกรณีล่าสุด บอกการโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจโดยอาศัยตำแหน่งอาวุโส แต่ออกกฎหมายภายใน 1 ปีไม่ทัน จึงออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ต้องแต่งตั้งตามหลักอาวุโส แต่ในเนื้อหาไม่ยึดแบบอาวุโสเลย เมื่อถูกร้องก็ตัดสินให้เรื่องดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและให้เป็นที่สิ้นสุด มองว่าควรต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากไม่อยากให้เกิดวิกฤติ ควรต้องฟังเสียงประชาชนและเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชน” นายราเมศ กล่าว
ขณะที่นายปิยบุตร แสนกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า หัวใจสำคัญของปัญหาทั้งหมดคือมาตรา 279 ที่รองรับการกระทำโดยคำสั่งคสช.ให้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ทั้งที่เป็นกฎหมายสูงสุด พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขโดยใช้กลไกของ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ จากการเลือกตั้งของประชาชน เหมือนที่เคยทำมาแล้วในปี 2540 ทั้งนี้ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2562 หลังการเลือกตั้ง 1 วัน พรรคอนาคตใหม่จะเริ่มรณรงค์แคมเปญแก้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที เพื่อป้องกันการรัฐประหารในอนาคต
“ผมมองว่ามีเทคนิคทางกฎหมายที่ทำได้หลายเรื่อง คือกการล้มล้างผลพวงรัฐประหาร โดยการประกาศให้การยึดอำนาจเมื่อปี 2557 เป็นโมฆะ หมายความว่าเกราะคุ้มกันคนยึดอำนาจไม่มีแล้ว สามารถนำผู้ยึดอำนาจไปดำเนินคดีได้ทันที หลายประเทศทำสำเร็จมาแล้ว อย่างฝรั่งเศส กรีซ หรือตุรกี เราต้องเขียนมาตราสุดท้ายในรัฐธรรมนูญให้ได้ว่า การยึดอำนาจเป็นสิ่งผิด หากมีการยึดอำนาจ เกิดขึ้น และเมื่อประชาชนได้รับอำนาจคืนมา สามารถดำเนินคดีกลุ่มผู้ยึดอำนาจได้ทันที โดยไม่มีอายุความ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย” เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าว
ด้านนายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย นักวิชาการรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2560 ยังขัดกับ 3 หลักการสำคัญที่ทำให้รัฐธรรมนูญมีประสิทธิภาพ และอายุของการบังคับใช้ที่จะไม่ถูกแก้ไขคือความเป็นประชาธิปไตย สัญญาประชาคมและควบคุมกำกับการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งตามมาด้วยวิกฤติความชอบธรรม และความเชื่อมั่น.-สำนักข่าวไทย
