อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา 10 ธ.ค.-ธีรยุทธ บุญมี มองการเมืองไทยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เพื่อไทย-ปชป.จะใช้วิธีวิจารณ์ผลงาน คสช.และสิ่งใหม่ที่จะสร้างให้กับประชาชน แทนการสาดโคลนใส่กัน ขณะที่โซเชียลมีเดีย ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ พลังบวกของจิตอาสา เป็นมิติใหม่ทางการเมืองที่ฝ่ายรัฐต้องยอมรับและปฏิบัติตาม
นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอิสระ กล่าวปาฐกถาในงาน 45 ปี 14 ตุลา ครั้งที่ 4 ในหัวข้อ “มองประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ปัญหาที่ใหญ่กว่าวิกฤติการเมือง” โดยกล่าวว่า เกือบ 20 ปีที่คนไทยหมกมุ่นกับการเมือง เท่ากับปล่อยให้กลไกเศรษฐกิจ สังคม ทำงานไปโดยไม่ปรับบทิศทาง จึงพบปัญหาใหญ่กว่าเพิ่มขึ้นมากมาย อาทิ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนที่กว้างมากขึ้นเรื่อยๆ คุณภาพการศึกษาทุกระดับลดลง ทรัพยากรมนุษย์ด้อยประสิทธิภาพ คอร์รัปชั่นขยายตัวลงสู่รากหญ้า และกลุ่มทุนใหญ่ขยายอำนาจผูกขาดทางเศรษฐกิจ ขยายมาสู่อิทธิพลด้านอื่นๆ อิทธิพลเหนือตลาด หรือขยายตัวเข้าคุมทุกมิติของเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันของคนไทย เป็นปัญหาใหญ่ที่วิกฤติกว่าการเมืองอย่างชัดเจน
“ด้านเศรษฐกิจ มีความไม่พร้อมของไทยในเรื่องอุตสาหกรรม 4.0 แม้นโยบาย 4.0 ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มีข้อดีในส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่พื้นฐานเบื้องต้นของประเทศคือบุคลากรยังขาดความรู้ มองเทคโนโลยี 4.0 เป็นแค่เครื่องมือ เปลี่ยนเศรษฐกิจบริกร (servant economy) ที่อาศัยแรงงานให้บริการถูกเลิกใช้หรือถูกทดแทนได้ โดยแรงงานต่างชาติมาแทนแรงงานไทย มาเป็น เศรษฐกิจบริการ (service economy) ที่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ เทคโนโลยีเฉพาะอย่าง อุตสาหกรรมการกิน ผลไม้ ยา ท่องเที่ยว ของเราที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นบริการชั้นต้นหรือเศรษฐกิจบริกร” นายธีรยุทธ กล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวว่า ภาคสังคม โครงสร้างสังคมไทยกลายเป็นสองชนชั้นครึ่ง คือ รวยกระจุก จนกระจาย กลางกระจ้อน (ไม่โต แคระแกร็น) การคอร์รัปชันขยายไปทุกระดับชั้นทั้งวงการศึกษา วงการสงฆ์ สหกรณ์ ครูอาจารย์ ตำรวจ คนพิการ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และเรื่องการโกงกินลงไปสู่ระดับล่างมากขี้น ความจนมีทั้งด้านความหัวง สังคม พื้นที่ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม อาจเรียกรวมๆ ว่าจนทางอัตลักษณ์ อาจเป็นปัญหาการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ มองว่ารัฐบาลนี้สนับสนุนกลุ่มธุรกิจอิทธิพลใหญ่เต็มที่อย่างไม่น่าเชื่อ
นายธีรยุทธ กล่าวว่า อนาคตทางการเมืองเป็นประชาธิปไตยจะอยู่ใต้อำนาจกลุ่มทุนใหญ่ วิกฤตการณ์การเมืองใหม่เกิดความพยายามของกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่จะสถาปนาอำนาจของตัวเอง และ คสช.ตั้งใจสืบทอดอำนาจมานานแล้ว ตั้งแต่ล้มรัฐธรรมนูญฉบับที่คณะของนายบวรศักด์ อุวรรณโณร่างขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นชุดของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ซึ่งเขียนกติกาให้พรรคการเมืองเสนอชื่อคนนอกที่ไม่ใช่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ปาร์ตี้ลิสต์ เพิ่มทั้งจำนวนและอำนาจสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตั้งโดยทหาร 250 คน มีสิทธิเลือกนายกรัฐมนตรี และมีโอกาสสูงมากที่ พล.อ.ประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
“อนาคตการเมืองไทยมีโอกาสพัฒนาเป็นการเมืองใต้เงื้อมมืออิทธิพล การเมืองไทยมีโอกาสดีขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าจะมีหลายฝ่ายทั้งเอกชน ธุรกิจ พรรคการเมือง ก้าวออกมารับผิดชอบบ้านเมืองด้วยตัวเอง โดยไม่หวังรอตัวบุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป และมองว่ายิ่งพูดเรื่องปรองดอง ยิ่งห่างความปรองดอง การเมืองไทยกำลังก้าวลงเข้าสู่ภาวะปกติ (normalization) มองจากทฤษฎีประชาธิปไตยใหม่ ๆ สังคมไทยก้าวสู่ภาวะปกติแล้ว ขณะนี้ความขัดแย้งเหลืองแดงอยู่ในภาวะปกติแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องให้ฝ่ายใดเปลี่ยนจุดยืนหรืออุดมการณ์ เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ จะไม่มีใครใช้วาทะกรรมแบบสุดขั้วมาหาเสียง ต้องหาแง่มุมในการวิจารณ์ผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ คสช.และสิ่งใหม่ที่จะให้กับสังคมและประชาชน” นายธีรยุทธ กล่าว
นายธีรยุทธ กล่าวว่า ขณะนี้มีมิติการเมืองใหม่ 4 อย่าง คือ โซเชียลมีเดีย ปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ การขยายตัวพลังบวกของจิตอาสาและการแตกตัวของ “พรรคเพื่อไทย” โดยโซเชียลมีเดียและปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่จะมีพลังทำให้หน่วยงานปกครองสว่นท้องถิ่น ตำรวจ ราชการและรัฐบาลสนองตอบในหลายประเด็น ส่วนปรากฏการณ์คนรุ่นใหม่ก็ต่อรองให้เกิดอัตลักษณ์และพื้นที่ของตัวเองในพรรคใหญ่จนถึงขั้นตั้งพรรคของตนเองได้ เช่นพรรคอนาคตใหม่ ส่วนพลังบวกจิตอาสา เป็นพลังของคนไทยที่ยุคสมัยนี้มีความเป็นปัจเจกชน ต้องการทำดีตามที่ตัวเองชอบ ตัวเองสะดวกและสุดท้ายการแตกตัวของพรรคเพื่อไทยเป็นหลายพรรคย่อย น่าจะส่งผลทางโครงสร้างการเมืองดีขึ้น คือมีกลุ่มการเมืองที่การตัดสินใจเป็นอิสระมากขึ้น การขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและบางครอบครัวลดลง -สำนักข่าวไทย
