กรุงเทพฯ 7 ธ.ค.- ตำรวจไล่ล่าคนร้ายจับสามี-ภรรยา ในทุ่งสงล๊อคกุญแจมือก่อนชิงทองรูปพรรณหนัก 20 บาทหลบหนีไป ส่วนประเด็นก่อเหตุยังไม่สามารถตัดประเด็นใดทิ้งได้ ขอเวลาทำงานอีกระยะคาดได้ตัวแน่นอน
พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณี เหตุคนร้ายจับ 2 สามี-ภรรยาล็อกกุญแจมือและเอาทรัพย์สินไปหลายรายการแล้วหลบหนีไป เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช ว่าเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2561 เวลา 19.20 น. พนักงานสอบสวน สภ.ทุ่งสง รับแจ้งเหตุมีกลุ่มคนร้ายร่วมกันเข้าไปปล้นทรัพย์ ที่บริเวณบ้านพักชั้นเดียว ถนนชัยชุมพล ต.ปากแพรก อ.ทุ่งสง เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจึงร่วมเดินทางไปตรวจสถานที่เกิดเหตุเมื่อมาถึงพบผู้เสียหายจำนวน 2 ราย ซึ่งเป็นสามี – ภรรยา กัน แจ้งว่าตามวันเวลาเกิดเหตุ ขณะที่ผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในบ้านได้มีคนร้ายเป็นชายสวมเสื้อยืด ใส่กางเกงยีนส์ใช้ผ้าปิดบังใบหน้าผลักประตูเข้ามาในบ้าน เข้ามาจับตนเองไว้ ต่อมาสามีของตนจึงเดินออกมาจากห้องครัวเพื่อเดินไปดู คนร้ายอีกคนหนึ่งจับตัวสามีของตนไว้ พร้อมสั่งให้นอนคว่ำกับพื้นแล้วนำกุญแจมือมาล็อคข้อมืออีกทั้งนำอาวุธปืนออกมาจ่อบริเวณศรีษะของสามีตนไว้ แล้วได้ปลดเอาทองรูปพรรณจากตัวของสามีตนไป
ส่วนคนร้ายที่ควบคุมตนไว้ได้สั่งให้ตนนอนคว่ำบนโซฟา ก่อนปลดเอาทองรูปพรรณและแหวนจากตนไป จากนั้นสั่งให้ตนลงไปนอนคว่ำบนพื้นภายในบ้านบริเวณข้างกับสามีของตน แล้วนำเชือกไนล่อนมามัดมือของตนและสามีในลักษณะที่ไขว้หลังกันไว้นอนคว่ำกับพื้นภายในบ้าน จากนั้นคนร้ายได้รื้อค้นหาทรัพย์สิน เสร็จแล้วพากันขึ้นรถยนต์เก๋งสีขาว ยี่ห้อมาสด้า สีบอร์น ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน หลบหนีไปจากบ้านที่เกิดเหตุ ตรวจสอบทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมไป มีทองรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 20 บาท และทรัพย์สินอื่นอีกหลายรายการ
พนักงานสอบสวน ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สืบสวนหาข่าว ไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดตามเส้นที่ทางที่คาดว่ากลุ่มคนร้ายจะใช้หลบหนี เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า สำหรับประเด็นการก่อเหตุครั้งนี้มีหลายประเด็น เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้งไป คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลออกหมายจับกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ ซึ่งยังคงต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ในการออกสืบสวนแสวงหาพยานหลักฐานและติดตามกลุ่มคนร้าย เพื่อนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามกฎหมายต่อไป .-สำนักข่าวไทย