กรุงเทพฯ 7 ธ.ค. – กรมสรรพากรแจงกฎหมาย e-Payment ไม่ขัดแย้งนโยบายสังคมไร้เงินสด ปัดมุ่งเก็บภาษีค้าออนไลน์
นายปิ่นสาย สุรัสวดี รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมสรรพากร กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ…..(เพื่อรองรับระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ว่า ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เห็นชอบเมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมา มีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออำนวยความสะดวกผู้เสียภาษี โดยเป็นการแก้ไขกฎหมายให้รองรับการทำธุรกรรมและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ การให้ผู้จ่ายเงินได้สามารถเลือกวิธีการนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายผ่านตัวกลาง (เช่น ธนาคาร) โดยผู้จ่ายเงินได้ไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีและนำส่งภาษีให้แก่กรมสรรพากรในภายหลังอีก พร้อมทั้งสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี โดยไม่ได้มุ่งเน้นจัดเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าทางออนไลน์หรือธุรกิจหนึ่งธุรกิจใดเป็นการเฉพาะแต่อย่างใด
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวได้มีการเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชนตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง ระหว่างเดือนสิงหาคม 2560-กันยายน 2561 ซึ่งมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นจากหน่วยงานภาคเอกชน ภาครัฐ และประชาชนทั่วไปทางเว็บไซต์และทางหนังสือกว่า 400 ราย โดยระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว กรมสรรพากรได้ประชุมหารือร่วมกับสภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับฟังความคิดเห็นมาปรับปรุงร่างให้สอดคล้องกับผู้ใช้กฎหมายอย่างแท้จริงและไม่ก่อให้เกิดภาระเกินสมควร
โฆษกกรมสรรพากร กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านกระบวนการตามกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยมีการพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิของบุคคล การรักษาความเป็นส่วนตัว และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลอย่างถี่ถ้วนแล้ว ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดให้นำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ และการจัดเก็บภาษีอากรมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยรายได้ให้รัฐนำไปใช้จัดบริการสาธารณะต่าง ๆ แก่ประชาชน การรายงานธุรกรรมที่มีลักษณะเฉพาะตามร่าง พ.ร.บ.นี้จึงเป็นการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
นายปิ่นสาย กล่าวว่า การกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งข้อมูลแก่กรมสรรพากรไม่ได้ขัดแย้งกับนโยบายสังคมไร้เงินสดของรัฐบาล เนื่องจากการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันมีความสะดวกรวดเร็วและช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น และหากผู้ประกอบการมีประวัติทางการเงินที่ถูกต้องและโปร่งใส ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน และการขอสินเชื่อต่าง ๆ เป็นการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการขึ้นไปอีก ทั้งนี้ กรมสรรพากรทราบว่าการรับโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารนั้นไม่ได้หมายความว่าเงินจำนวนทั้งหมดต้องนำไปเสียภาษี เนื่องจากหลายกรณีไม่ได้เป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี เช่น การคืนเงินกู้ยืม การรับเงินที่ฝากไปทำบุญแทน เป็นต้น โดยกรมสรรพากรจะนำข้อมูลที่ได้รับไปประมวลผลร่วมกันกับข้อมูลอื่น ๆ เพื่อประกอบการจัดกลุ่มผู้เสียภาษีในการดูแลและให้บริการที่เหมาะสมต่อไป
นายปิ่นสาย กล่าวเพิ่มเติมว่า การขอให้ธนาคารส่งข้อมูลการรับเงินเข้าบัญชีเกิน 400 ครั้ง และมีวงเงินรับเกิน 2 ล้านบาทต่อบัญชี หรือมีการโอนขารับเกิน 3,000 ครั้งต่อบัญชี เป็นเพียงการส่งชื่อสกุล เจ้าของบัญชี และจำนวนครั้งเท่านั้น ไม่ได้เป็นการส่งข้อมูลว่าใครโอนให้ใคร ทั้งนี้ ยืนยันว่าข้อมูลที่ได้ไม่ได้นำมาใช้ในการรีดภาษีผู้ค้าออนไลน์เหมือนที่ภาคประชาสังคมเข้าใจ แต่นำมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้เสียภาษี ดูข้อมูลกลุ่มเสี่ยง อีกทั้งข้อมูลที่ส่งมาก็เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการพิจารณาเท่านั้น ยังมีปัจจัยประกอบอีกหลายด้าน นอกจากนี้ เจตนาของกฎหมายหากประชาชนหรือผู้ประกอบการใดที่มีรายได้เกินเกณฑ์ก็จะต้องเสียภาษีอยู่แล้ว
สำหรับเกณฑ์การจัดเก็บภาษีจะอยู่ที่ 1 ล้านละ 5,000 บาท หากเกิน 2 ล้านบาท ตามที่กฎหมายกำหนดก็จะเสียเพียง 10,000 บาทเท่านั้น ซึ่งระดับวงเงิน 2 ล้านบาท ยังถือว่าสูงกว่าฐานรายได้เฉลี่ยของคนเมือง ที่เสียภาษีบุคคลอยู่ที่ 600,000 บาทต่อปี การจัดเก็บภาษีดังกล่าวยังช่วยป้องกันข้อครหาที่หลายคนชี้ว่าประชาชนเพียง 10 ล้านคนเท่านั้นที่ต้องจ่ายภาษีรายได้ ทั้งที่มีประชากรส่วนใหญ่ถึง 69 ล้านคน
ส่วนการให้ผู้จ่ายเงินสามารถเลือกวิธีนำส่งภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายผ่านตัวกลาง เช่น ธนาคารโดยไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี และนำส่งภาษีให้กับกรมสรรพากรภายหลัง ก็เป็นการสร้างความเป็นธรรมในระบบภาษี โดยไม่ได้มุ่งเน้นที่จะจัดเก็บภาษีจากผู้ขายสินค้าออนไลน์ หรือธุรกิจหนึ่งธุรกิจใดเป็นการเฉพาะ แต่เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เดี๋ยวนี้มีการลดการใช้เอกสารและนำข้อมูลสู่ระบบดิจิทัล ตามนโยบายของกรมที่มุ่งสู่การเป็นหน่วยงานอิเล็กทรอนิกเต็มรูปแบบ โดยกระบวนการทั้หมดก็ได้เผื่อเวลาให้ผู้ประกอบการปรับตัว เพราะมีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2563.-สำนักข่าวไทย