ศาลปกครอง 7 ก.ย.- ศาลปกครองกลางพิพากษาให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชดใช้ค่าสินไหม จากการเผาทำลายเพิงพักและสิ่งปลูกสร้าง ให้กับชาวไทยเชื้อสายกระเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ที่อาศัยในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชี้พื้นที่ดังกล่าวไม่ใช่ชุมชนดั้งเดิม แต่เป็นเขตอุทยานฯ การให้ออกจากพื้นที่ถือว่าทำตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลปกครอง วันนี้ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่ นายโคอิ หรือ คออี้ มีมิ อายุ 104 ปี ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งป่าแก่งกระจาน พร้อมพวกซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง (ปกาเกอะญอ) ในหมู่บ้านบางกรอยบน ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี รวม 6 ราย ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ว่ากระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ในการขับไล่ชาวบ้านบางกรอยออกจากป่าแก่งกระจาน ด้วยการเผาทำลายบ้านและทรัพย์สิน
ศาลเห็นว่าที่ดินแปลงที่เกิดเหตุนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นชุมชนดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยง แต่เป็นที่ดินที่มีการบุกรุกแผ้วถางป่า ในลักษณะการเปิดป่าดงดิบ เพื่อให้เป็นที่โล่งสำหรับใช้เพาะปลูกเป็นแปลงใหม่ ซึ่งไม่ใช่แปลงที่ดินทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ทางราชการจัดสรรให้ทำกิน ดังนั้นการที่ผู้บุกรุกแผ้วถางป่าได้ทำการก่อสร้างเพิงพัก หรือที่อยู่อาศัย หรือยุ้งฉางข้าวบนที่ดินดังกล่าว จึงเป็นการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ นอกจากนั้นยังมีการล่าสัตว์ ซึ่งเป็นการทำผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจพบการกระทำผิดในเขตอุทยานแห่งชาติ จึงทำการเจรจาและกำหนดเวลาให้ทำการรื้อถอนเพิงพักหรือสิ่งปลูกสร้าง และเก็บทรัพย์สินออกจากที่ดินดังกล่าว
แต่หลังพ้นกำหนดเวลาเมื่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเข้าไปสำรวจพื้นที่ พบว่ายังคงมีเพิงพักหรือสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของไม่ได้ทำการรื้อถอนออกไป คณะเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจที่จะรื้อถอนหรือเผาทำลายได้ และการเผาสิ่งปลูกสร้างก็เพื่อไม่ให้ผู้บุกรุกนำไปใช้ก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นใหม่ได้อีก จึงถือเป็นการใช้อำนาจโดยชอบของพนักงานและเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด
แต่สำหรับสิ่งของเครื่องใช้ในครัวเรือนและสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวที่อยู่ในเพิงพักและถูกเผาไปนั้น เนื่องจากเป็นสิ่งของจำเป็น และไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายหรือสิ่งต้องห้ามตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504 การที่เจ้าหน้าที่ทำการเผาเพิงพัก โดยไม่เก็บรวบรวมทรัพย์สินดังกล่าวออกมารักษาไว้ เพื่อประกาศให้เจ้าของมารับคืนในภายหลังนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำละเมิดอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชจะต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 โดยศาลได้กำหนดค่าสินไหมในส่วนของเครื่องใช้ในครัวเรือน 5,000 บาท และค่าสินไหมในส่วนของเครื่องใช้ส่วนตัว 5,000 บาท ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 เป็นเงินคนละ 10,000 บาท ภายใน 30 วันที่คดีถึงที่สุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว นายคออี้ และตัวแทนชาวกะเหรี่ยง ยังคงยืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นชุมชนดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงและเป็นที่ดินบรรพบุรุษ ไม่ใช่ที่ดินที่มีการบุกรุกใหม่ แต่เจ้าหน้าที่เข้าใจผิดว่าการทำไร่หมุนเวียนตามภูมิปัญญาของชาวกะเหรี่ยงเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า ส่วนจะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้นชาวกะเหรี่ยงและทนายความจะมีการหารือกันอีกครั้งหนึ่ง.-สำนักข่าวไทย