ศาลฎีกาฯ 9 ก.ย. – “ยิ่งลักษณ์” ขึ้นศาลคดีจำนำข้าวสืบพยานนัดที่ 3 ไม่เห็นด้วยใช้.ม44 ยึดทรัพย์ทุจริตจำนำข้าว ควรให้ศาลแพ่งพิจารณาค่าเสียหาย
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่าเมื่อเวลา 08.45 น. วันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมทนาย เดินทางมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีโครงการรับจำนำข้าว ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อขึ้นสืบพยานฝ่ายจำเลยเป็นนัดที่ 3 โดยมีบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส. พร้อมมวลชนร่วมให้กำลังใจ ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 1 กองร้อย และทันทีที่น.ส.ยิ่งลักษณ์มาถึง กลุ่มมวลชนได้มอบดอกไม้ และตะโกนให้กำลังใจ “นายกฯ ปู สู้ ๆ” “รัก ยิ่งลักษณ์”
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลระบุจะไม่ใช้อำนาจมาตรา 44 ยึดทรัพย์คดีจำนำข้าว แต่จะใช้คำสั่งทางปกครองดำเนินการตามกฎหมาย ว่า ตนไม่แน่ใจว่าการใช้มาตรา 44 นั้นจะเป็นการล่วงอำนาจศาลหรือไม่ แต่ส่วนตัวเราไม่เห็นด้วยแต่ต้นแล้ว และได้มีการเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหลายฝ่าย
“กระบวนการต่าง ๆ ในวันนี้ยังอยู่ในกระบวนการของศาลอาญาฯ ยังไม่จบ กระบวนการเรียกค่าเสียหายก็คงจะต้องหลังจากที่ทราบผลคดีอาญา แต่ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดไม่ว่าจะเป็นอำนาจมาตรา 44 หรือคำสั่งทางปกครองก็ตาม จริง ๆ แล้วก็ถือว่าเป็นการที่รัฐบาลจะใช้อำนาจในฐานะของการเป็นคู่ขัดแย้งของดิฉัน ดังนั้นจึงควรให้ศาลแพ่งเป็นผู้พิจารณา จะเหมาะสมกว่า” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
เมื่อถามว่า สู้คดีมาครึ่งทางแล้ว กำลังใจยังดีอยู่หรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เราทำอย่างเต็มที่ ก็ต้องขอบคุณกำลังใจจากพี่น้องประชาชนทุกท่านทั้งจากทางบ้าน และที่มาให้กำลังใจที่หน้าศาล ตนทำอย่างเต็มที่ และกำลังใจก็มีอยู่เต็มร้อย
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการส่งทนายไปร้องขอความเป็นธรรม กรณีผลสรุปค่าเสียหายของคณะกรรมการตรวจสอบการรับผิดทางละเมิดรั่วไหล น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ในเมื่อการตรวจสอบการรับผิดทางละเมิดยังอยู่ในขั้นตอนของการสอบ และทางประธานคณะกรรมการก็บอกว่าเป็นความลับ ตนก็ไม่เข้าใจว่านพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ นำข้อมูลตรงนี้มาได้อย่างไร เราคิดว่า ถ้ามีความเป็นกลางข้อมูลต่าง ๆ ก็ไม่ควรรั่วไหลออกไปสู่คนข้างนอก ก็ขอความกรุณาอย่าชี้นำการตัดสินใจของคณะกรรมการเลย เพราะอยากให้การพิจารณาทุกอย่าง ไม่อยู่บนความกดดันของสังคม แต่พิจารณาจากข้อมูลข้อเท็จจริง.-สำนักข่าวไทย