นครศรีธรรมราช 2 พ.ย.-ผู้เชี่ยวชาญยืนยันช้างป่านครศรีธรรมราชที่ชาวบ้านพบ มีลักษณะเป็นช้างมงคลตามตำราโบราณ อาจมีเชื้อสาย “คุณพระเศวต” ช้างเผือกประจำรัชกาลที่ 9
จากกรณีนายสำเริง ละม้าย หัวหน้าชุดผลักดันช้างอุทยานแห่งชาติเขาหลวง นำเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติฯ เข้าป้องกันพืชสวนระหว่างรอยต่อบริเวณหมู่ 6 ต.นาเหรง อ.นบพิตำ และหมู่ 1 ต.ทอนหงส์ อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช เพื่อป้องกันแนวพื้นที่ไม่ให้ช้างป่า 1 ตัว ที่เดินเข้ามาหากินในบริเวณสวนผลไม้และสวนยางพาราและเข้าใกล้หมู่บ้านจนทำให้ชาวบ้านหวาดผวาเพราะเกรงว่าอาจะเป็นอันตราย ขณะที่เป็นช้างป่าเพศผู้ มีขนาดใหญ่ ลักษณะโคนงาใหญ่อวบ ผิวหนังตึงมีสีนิลเสมอทั้งร่าง มีกล้ามเนื้อสมส่วน หลังโค้งลาดสวยงาม ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (2 พ.ย.61) นายสัตวแพทย์พรภิรมย์ ฟุ้งตระกูล สัตวแพทย์อาสามูลนิธิเพื่อนช้างภาคใต้ ซึ่งเป็นสัตวแพทย์ที่ออกดูแลสุขภาพช้างเลี้ยงและแก้ไขปัญหาช้างป่าใน จ.นครศรีธรรมราช มานานกว่า 20 ปี กล่าวว่า หลังพิจารณาภาพถ่ายช้างป่าเพศผู้ตัวนี้อย่างละเอียดแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากช้างเพศผู้ตัวดังกล่าวนั้นมีลักษณะพิเศษ ถือว่ามีความแปลกมาก มีลักษณะเป็นช้างมงคลตามตำราโบราณแบ่งเป็น 4 ลักษณะสายตระกูล คือช้างตระกูลพรหมพงศ์, ตระกูลอิศวรพงศ์, ตระกูลวิษณุพงศ์ และตระกูลอัคนีพงศ์ โดยช้างดัวกล่าวเข้าข่ายลักษณะ ตระกูลวิษณุพงศ์
นายสัตวแพทย์พรภิรมย์ ฟุ้งตระกูล ยังกล่าวด้วยว่า ในทางพันธุกรรมเชื่อว่าสายพันธุ์ช้างนครศรีธรรมราชเชื่อมโยงผูกพันกับพระเศวต ช้างสำคัญประจำรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นช้างในถิ่นนครศรีธรรมราช รอยต่อกับจังหวัดกระบี่ ดังนั้นเชื่อว่าเชื้อสายลักษณะพันธุกรรมความเป็นมงคลของช้างจะมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากพื้นที่นครศรีธรรมราช เจอช้างป่า เข้าข่ายช้างมงคลของป่าถิ่นอาศัยไม่ได้ห่างไกลกัน และสมัยโบราณช้างนครศรีธรรมราชถูกคัดเลือกเป็นช้างศึกจำนวนมาก หลังจากเสร็จภารกิจเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะปล่อยคืนป่า ลักษณะของช้างจึงถ่ายทอดความเป็นมงคลของช้างที่ยังคงอยู่ถึงปัจจุบันด้วย หลังจากนี้ต้องเป็นเรื่องที่ชาวนครศรีธรรมราช ผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่หากินของช้างต้องช่วยกันดูแลรักษาร่วมกับกรมอุทยาน ที่จะต้องสร้างความร่วมมือระหว่างกัน ซึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช มีช้างอาศัยอยู่ในป่าประมาณ 3-4 โขลง ซึ่งจะพบเห็นบ่อยในพื้นที่พรหมคีรี และ อ.นบพิตำ ต้องสร้างความเข้าใจกันระหว่างคนกับช้างเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกันต่อไป.-สำนักข่าวไทย