กทม. 25 ต.ค. – เอฟเอคัพ เดือด! “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ปะทะ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ลุ้นดับเบิลแชมป์เสาร์นี้
ฟุตบอล ช้าง เอฟเอ คัพ รอบชิงชนะเลิศ เป็นรายการสุดท้ายของฟุตบอลไทยในปีนี้ เป็นการดวลกันระหว่าง “กว่างโซ้งมหาภัย” สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด พบกับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคมนี้ ที่สนามศุภชลาศัย เวลา 19.00 น. ซึ่งนอกจากมีความหมายทั้ง 2 ทีมในการลุ้นคว้าดับเบิลแชมป์ในปีนี้แล้ว ยังมีพ่วงไปอีกทีมที่รอลุ้นเป็นตาอยู่คอยเสียบไปเล่นฟุตบอลถ้วยเอเชียในปีหน้า
สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด แชมป์เก่าปีที่แล้ว เพิ่งคว้าแชมป์โตโยต้า ลีก คัพ 2018 เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการเฉือนชนะ บางกอกกล๊าส เอฟซี 1-0
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เพิ่งคว้าแชมป์ไทยลีก 2018 พร้อมกับทำคะแนนสูงสุดถึง 87 คะแนน และเป็นแชมป์รายการนี้ 4 สมัย ในปี 2011, 2012, 2013 และ 2015
เกมนี้เป็นเกมที่น่าสนใจ เพราะจะมีทีมที่ 3 รอเสียบไปเล่นฟุตบอลถ้วยเอเชีย เนื่องจากหากทีมเชียงรายสามารถคว้าแชมป์ได้ จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ ทันที แต่ถ้าหากบุรีรัมย์ คว้าแชมป์ การท่าเรือ เอฟซี ทีมอันดับ 3 ของไทยลีก จะคว้าส้มหล่นไปเล่นเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบเพลย์ออฟแทน เนื่องจากบุรีรัมย์ ได้สิทธิ์ไปเล่นในฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในรอบแบ่งกลุ่ม เพราะได้สิทธิ์ในฐานะแชมป์ไทยลีกไปแล้ว
เกมนี้ยังมีความหมายกับ อเล็กซานเดอร์ กาม่า นอกจากจะเจอกับทีมเก่า บุรีรัมย์ และ เคยนำบุรีรัมย์ คว้าแชมป์ถ้วยเอฟเอ คัพ ในปี 2015 แล้ว เกมนี้ กาม่า จะคุมทีมเชียงราย ยูไนเต็ด เป็นนัดสุดท้าย โดยสื่อคาดว่า กาม่า จะไปคุมทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ในการลุ้นโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยประเทศไทยได้สิทธิ์เป็นเจ้าภาพ ศึก ยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ด้วย
สำหรับ กาม่า เคยคุมทีมทั้งในบราซิล, เอเชียตะวันออกกลาง รวมถึงเคยเป็นผู้ช่วยโค้ชทีมชาติเกาหลีใต้ ชุดคว้าอันดับสามฟุตบอลเอเชียนคัพ 2011 มาแล้ว เขาประสบความสำเร็จในการคุมสโมสรในประเทศไทย ด้วยการคว้าไปแล้ว 11 แชมป์ กับ 2 สโมสร ในช่วงระยะเวลา 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2014-2016 ที่มาคุมทีมบุรีรัมย์ คว้า 8 แชมป์ และ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ในปี 2017-2018 คว้า 3 แชมป์
โดยผลงานของกาม่า ที่ผ่านมา คว้าแชมป์ไทยลีก 2 สมัย, แชมป์เอฟเอคัพ 2 สมัย, แชมป์ลีกคัพ 3 สมัย, แชมป์ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ หรือ ถ้วยพระราชทานประเภท ก. เดิม 3 สมัย และ แชมป์โตโยต้า พรีเมียร์ คัพ 1 สมัย กาม่า กำลังลุ้นถ้วยใบที่ 12 ในวันเสาร์ที่ 27 ตุลาคมนี้ และจะเป็นใบที่ 4 ให้กับทีมเชียงรายด้วย
เกมนี้ยังไม่หยุดแค่นี้ ยังเป็นการวัดกันของ 2 ผู้รักษาประตู ว่า ใครจะเป็นมือหนึ่งทีมชาติไทย ในรายการ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 ที่จะแข่งในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ แทนที่ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ที่เล่นกับสโมสร โอเอช ลูเวิน ทีมในลีก 2 ของเบลเยียม และ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล มือ 2 ก่อนหน้านี้ก็ประกาศเลิกเล่นทีมชาติไปแล้ว ทำให้ การขับเคี่ยวการแย่งเป็นมือหนึ่งทีมชาติไทย ระหว่าง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน จากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ ฉัตรชัย บุตรพรม จากสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด สนุกเข้มข้นเช่นกัน
ทั้งคู่เพิ่งได้ลงสนามให้ทีมชาติไทย ชุดใหญ่ ไปคนละ 1 เกม ในแมตช์อุ่นเครื่องช่วงฟีฟ่าเดย์ ซึ่ง ศิวรักษ์ ลงโชว์ฟอร์มในเกมกับ ฮ่องกง ทีมชาติไทยชนะไปได้ 1-0
ฉัตรชัย บุตรพรม ได้ลงสนามในเกมกับ ตรินิแดดฯ ในฐานะตัวสำรอง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล ในนาทีที่ 15 ซึ่งเกมนี้ทีมไทยชนะไปได้ 1-0 ซึ่งผลงานทั้ง 2 คนในนามทีมชาติยังไม่เสียประตูให้ใครในการลงสนาม เกมนี้จึงเป็นเกมสำคัญของตำแหน่งผู้รักษาประตูด้วย
ความพร้อมของสิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด ไม่มีปัญหาผู้เล่นตัวหลักบาดเจ็บ หรือ ติดโทษห้ามแข่ง ซึ่ง ธวัชชัย คำมุงคุณ ผู้เล่นเชียงราย กล่าวว่า ดีใจที่สโมสรเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศ ถ้วยใบนี้ถือว่าสำคัญ เพราะจะได้สิทธิ์แข่งขันฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ด้าน นายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ ผู้อำนวยการสโมสรกว่างโซ้งมหาภัย กล่าวว่า เชื่อว่า ถ้วยใบนี้จะยังอยู่ภาคเหนือต่อไป
ด้านโบซิดาร์ บันโดวิช กุนซือปราสาทสายฟ้า จะไม่มี สุภโชค สาระชาติ เนื่องจากเจ็บศอกต้องพักยาว ส่วน จักรพันธ์ แก้วพรม ต้องลุ้นว่า จะหายเจ็บทันหรือไม่ ขณะที่ สุเชาว์ นุชนุ่ม กัปตันทีมบุรีรัมย์ พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ หวังจะเอาถ้วยกลับไปบุรีรัมย์ให้ได้
สำหรับสถิติในปีนี้ ทั้ง 2 ทีมพบกันมา 3 ครั้ง เริ่มต้นจาก ศึกไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 2018 ซึ่ง สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด เอาชนะจุดโทษ บุรีรัมย์ ไปได้ 6-5 หลังเสมอในเวลา 2-2
ขณะที่เกมในไทยลีก ต่างฝ่ายต่างเก็บชัยชนะได้ในบ้านตัวเองด้วยสกอร์ 1-0 เมื่อนับรวมผลการแข่งขัน 3 เกม เฉพาะ 90 นาที นั่นหมายถึงว่า พวกเขายังไม่มีทีมใดได้เปรียบเสียเปรียบ เกมที่สนามศุภชลาศัย ที่วันเสาร์นี้ ใครดีกว่ากันมีถ้วยเอฟเอคัพ 2018 เป็นเดิมพัน
สำหรับ สถิติที่พบกันทุกรายการเคยเจอ 18 ครั้ง บุรีรัมย์ชนะ 10 ครั้ง เชียงราย ชนะ 4 ครั้ง เสมอกัน 4 ครั้ง โดย แชมป์รายการนี้ จะคว้าเงินรางวัล 5 ล้านบาท พร้อมสิทธิ์ไปเตะเอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก เพลย์ออฟ รอบ 2 ส่วนรองแชมป์ รับเงินรางวัล 1 ล้านบาท ส่วนบัตรเข้าชมมี 3 ราคา 150, 100 และ 80 บาท .- สำนักข่าวไทย