ทำเนียบฯ 2 ต.ค.- ครม.เห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล คาดใช้งบ 30,000 กว่าล้านบาท ในระยะเวลา 5 ปี ปรับปรุงระบบข้อมูลภาครัฐเป็นแบบดิจิทัล
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลง ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี วันนี้ (2 ต.ค.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล เนื่องจากปัจจุบันการทำงานของหน่วยงานรัฐ ไม่สามารถนำเทคโนโลยี มาใช้อำนวยความสะดวกได้เต็มที่ และข้อมูลยังไม่เชื่อมโยงกัน ทำให้ประชาชนผู้มาติดต่อราชการเกิดความติดขัด จึงจำเป็นต้องมีกฎหมาย เพื่อยกระดับการทำงานของภาครัฐไปสู่รัฐบาลดิจิทัล
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ทุกหน่วยงานต้องจัดข้อมูลของตนให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ที่เชื่อมโยงถึงกันทุกหน่วยงาน รวมถึง เปิดเผยข้อมูลภาครัฐในแบบดิจิทัลต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนรับรู้ เข้าถึงข้อมูลได้ง่าย แต่จะต้องไม่เป็นข้อมูลส่วนบุคคล หรือมีผลกระทบต่อภาคส่วนอื่นๆ โดยกำหนดบทเฉพาะกาล ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ พ.ร.บ. มีผลบังคับใช้ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณ ระยะ 5 ปี จำนวน 30,000 ล้านบาท ที่จะให้แต่ละหน่วยงานแปลงข้อมูลมาเป็นข้อมูลในระบบดิจิทัล
“โดยระหว่างนี้จะมีศูนย์ข้อมูลกลางชั่วคราว ทำหน้าที่ในการเชื่อมโยง และแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่มีบทเฉพาะกาลระบุว่า จะต้องทำให้แล้วเสร็จใน 5 ปี และทำแผนเสนอ ครม.ต่อไป ว่าจะมีการขยายกรอบการทำงานอย่างไร เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการทำงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า เบื้องต้นมีมาตรการออกมา 3 ระยะ คือ ระยะแรก ให้หน่วยงานราชการภาครัฐดำเนินการได้ทันที โดยที่ไม่ต้องทำเอ็มโอยู และเมื่อมีคนมาติดต่อราชการให้หน่วยงานนั้นๆ ใช้ข้อมูลที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ได้เลย และเจ้าหน้าที่เป็นผู้ลงนามรับรองสำเนาเอง ส่วนค่าปรับต่างๆ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐพยายามดำเนินการผ่านระบบอีเพย์เม้นท์ ให้ได้มากที่สุด
“การปฎิบัตินี้ ให้มีผลเป็นตัวชี้วัดของหัวหน้าระดับงานทุกจังหวัด และจะมีการเปิดโซเชียลรับเรื่องราวร้องเรียนจากประชาชน หากหน่วยงานนั้นๆ ไม่ดำเนินการปรับรูปแบบให้เป็นไปตามมาตรการนี้ด้วย โดยทั้งหมดต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นใน 5 พ.ย.นี้” พล.ท.สรรเสริญ กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ระยะกลาง ในปี 2562 หน่วยงานราชการที่ให้บริการประชาชน เมื่อมีคนมาติดต่อ พยายามให้ประชาชนกรอกข้อมูลพื้นฐานในน้อยที่สุด และลดการทำสำเนาให้มากที่สุด และระยะยาว ภายในปี 2563 จะมีการดำเนินการการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐอย่างเต็มรูปแบบ .- สำนักข่าวไทย
