นายกฯหนุน โมเดลเศรษฐกิจใหม่ “BCG”


กรุงเทพฯ 29 ก.ย.- นายกรัฐมนตรี ชูนโยบาย ไทยแลนด์ 4.0  หนุนโมเดลเศรษฐกิจใหม่ “BCG”  ทั้งด้าน ชีวภาพ
เศรษฐกิจสีเขียว  
รองรับเศรษฐกิจยุคดิจิตอล

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้กล่าวกับประชาชนผ่านรายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ในวันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2561 เวลา 20.15 น.
ในประเด็นต่าง ๆ ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้


นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศไปสู่
ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ด้วยนโยบาย
ไทยแลนด์ 4.0” ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจใหม่
ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะเร่งรัดการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้ประสบความสำเร็จเร็วขึ้นด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ที่เรียกว่า
“BCG” B คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) C คือ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ G
คือ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ทั้งนี้
การนำแนวคิดเศรษฐกิจทั้ง
3
มาหลอมรวมเพื่อใช้เป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีหลักคิด
3 ประการ คือ (1) โมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG) (2)
เศรษฐกิจ BCG จะช่วยส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างถ้วนหน้า
โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และ (
3) เศรษฐกิจ BCG เป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (หรือ SDG)
ขององค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาความเป็นอยู่ของมวลมนุษยชาติ
และดูแลโลกของเรา ในทุกมิติ

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเศรษฐกิจชีวภาพ ว่าเป็นการพัฒนาความเข้มแข็งจากภายในหรือศักยภาพที่มีอยู่แล้ว
ประกอบด้วย ความหลากหลายทางชีวภาพ และการเป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรของโลก   ด้วยการประยุกต์ใช้ความรู้ร่วมกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม
มาพัฒนาต่อยอดและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากร ชีวภาพ และผลผลิตทางการเกษตร
โดยเน้นสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากในบ้านเมืองเรา
เพียงแต่เราต้องไม่หยุดค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอรี่
ซึ่งเป็นข้าวที่มีมูลค่าสูง ที่ได้รับการพัฒนาให้มีลักษณะดีด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
สารสกัดจากพืชสมุนไพร เพื่อเป็นเครื่องสำอางหรืออาหารเสริม
ซึ่งเพิ่มคุณค่าให้กับสมุนไพรไทยหลายเท่าตัว การผลิตเอทานอลและไบโอดีเซล
สำหรับใช้เป็นเชื้อเพลิงในภาคขนส่งของประเทศ
ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ปีละนับแสนล้านบาท จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจชีวภาพนี้
ช่วยเพิ่มโอกาสให้ภาคเกษตรกรรมของประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่มแก่ผลผลิตดั้งเดิม
ซึ่งไม่ใช่การขายเป็นวัตถุดิบ แต่เป็นการขายสินค้าแปรรูป โดยอาศัยวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ดังนั้น ถือได้ว่าเศรษฐกิจชีวภาพเป็นกลไกสำคัญ
ในการส่งเสริมการกระจายรายได้ และความเจริญไปสู่ภาคส่วนต่าง ๆ อย่างทั่วถึง

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเน้นย้ำว่า
รัฐบาลมีนโยบายที่จะดึงวิสาหกิจเริ่มต้นหรือสตาร์ทอัพ เข้ามา               ช่วยในระบบบริหารและบริการของรัฐ
โดยการจัดงานสตาร์ทอัพ แฟร์ (
Government Procurement Transformation) ภายใต้แนวคิด ปลดล็อคข้อจำกัด พัฒนาสตาร์ทอัพ สู่ตลาดภาครัฐซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่
28 – 29 กันยายนนี้ ณ ฮอลล์ 5-6
อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อเบิกทางสตาร์ทอัพสู่เส้นทางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ซึ่งนับว่าเป็นตลาดใหญ่ของสตาร์ทอัพ ที่มีมูลค่ากว่า
30,000
ล้านบาท (หรือร้อยละ
1 ของงบประมาณภาครัฐ) อีกทั้ง
เป็นการสร้างมิติใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางนวัตกรรมของภาครัฐ ที่มุ่งยกระดับ การให้บริการประชาชนในวันข้างหน้า
ในยุคดิจิทัล อีกด้วย


ทั้งนี้ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ผ่านมานี้
นายกรัฐมนตรีได้พบปะพูดคุยกับตัวแทนสตาร์ทอัพ ทั้ง
5 ราย ที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ
โดยมีผลงานเป็นคู่ค้ากับภาครัฐแล้ว  และพร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชนของภาครัฐ
ได้แก่
1) นวัตกรรมด้านความมั่นคง แพลตฟอร์มระบบเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์
(Situation Awareness System) ที่สามารถเชื่อมโยงอุปกรณ์ได้จากหลายประเภท
เช่น กล้อง
CCTV กล้องติดยานพาหนะ กล้องบุคคล อากาศยาน  ไร้คนขับ (Drone) ให้ผู้ใช้ระบบหรือผู้ควบคุมสถานการณ์
สามารถมองเห็น และวิเคราะห์ระบบ ได้จากทุกมุมมอง และทุกอุปกรณ์ไว้ในระบบเดียว
2)
นวัตกรรมแพลตฟอร์มสื่อกลาง ระหว่างจิตแพทย์ นักจิตวิทยา กับคนไข้ (Ooca)
ที่ช่วยให้สามารถพูดคุยออนไลน์ ปรึกษาจิตแพทย์ นักจิตวิทยาผ่าน video
call                           ในคอมพิวเตอร์ หรือโทรศัพท์มือถือได้ เพื่อความเป็นส่วนตัว ปลอดภัย
และมีระบบนัดแนะกันล่วงหน้าได้     
3) นวัตกรรมแอพพลิเคชั่นจองคิวร้านอาหาร
และศูนย์บริการครบวงจร (
QueQ) ทราบว่าได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี
เนื่องจากสอดคล้องกับชีวิตประจำวันและแก้ปัญหาพื้นฐานของทุก ๆ คน เช่น
โดยเฉพาะระบบจองคิว โรงพยาบาล นัดหมอ และแจ้งเตือนผ่าน
Smartphone เป็นต้น ทำให้มียอดดาวน์โหลดครบ 1 ล้านคน
และมีผู้ใช้งานกว่า
1 แสน 5
หมื่นคนต่อเดือน
4) นวัตกรรมโมเดลธุรกิจเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน
(
Local Alike) ที่ชนะการประกวดในโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
(หรือ
Booking.com Booster 2017) จากผู้ร่วมแข่งขัน 700 ทีม จาก 102 ประเทศทั่วโลก คว้าเงินรางวัลกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนช่วยพัฒนาการท่องเที่ยวกับชุมชน 70 แห่งทั่วประเทศ สร้างรายได้กลับคืนสู่ท้องถิ่นกว่า 20 ล้านบาท   และ 5) นวัตกรรมแพลตฟอร์มที่ช่วยจัดระเบียบงานอีเว้นท์
(
ZipEvent) ที่ส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ MICE ที่นับวันประเทศไทยของเรา เป็นจุดหมายปลายทาง ทั้งการท่องเที่ยว
การจัดงานอีเว้นท์ต่าง ๆ   ทั้งภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจอย่างมาก
ในภูมิภาคนี้

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงกิจกรรมงาน Innovation Thailand Expo 2018
จัดขึ้นระหว่าง             วันที่
4
– 7 ตุลาคมนี้ ณ ฮอลล์ 98
ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา 
โดยในปีนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ได้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ ในรูปแบบเทศกาลนวัตกรรม ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยมีการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วนของประเทศ
ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน   ภาคสถาบันการศึกษา
ตั้งแต่การให้ทุนวิจัย การพัฒนาทุนมนุษย์และงานวิจัย การใช้ประโยชน์งานวิจัย    การสร้างสรรค์นวัตกรรม
เพื่อนำเสนอผลงานนวัตกรรมระดับประเทศ
250 ผลงาน จาก 150 หน่วยงาน   ให้สมกับที่ประเทศไทยได้ชื่อว่า
เป็นประเทศที่มีการพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็ว (
Innovation Fast Move
Nation) พร้อมทั้งเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันพระปกเกล้า
และมูลนิธิประชาปลอดภัย ภายใต้โครงการ
การขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
(
SDGs) : กรณีศึกษาการใช้แนวคิดประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม
ในกลุ่มเยาวชนไทย เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยทางถนน
เพื่อเตรียมความพร้อมของคนในสังคม
โดยดึงเยาวชนในสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม และปลูกฝัง
จิตสำนึกความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งนี้
ประเทศไทยถูกจัดว่ามีสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง   รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความปลอดภัยด้านการจราจร
ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับ     การประชุมระดับโลก
ว่าด้วยการป้องกันการบาดเจ็บและส่งเสริมความปลอดภัย ครั้งที่
13 (Safety
2018 – The 13th World Conference on Injury Prevention and Safety Promotion) ซึ่งในปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 – 7  พฤศจิกายน 2561
กรุงเทพมหานคร

ตอนท้ายของรายการฯ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ได้จัดทำดัชนีประสิทธิภาพระบบสุขภาพ (
Health Care Efficiency Index) เพื่อจัดอันดับประเทศที่มีความคุ้มค่าด้านระบบดูแลสุขภาพ
ซึ่งจะคำนวณเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายกับอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนในประเทศ โดยปี
2561
นี้ ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก จาก 56
ประเทศ นอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่า   เรื่องการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทย
มีความก้าวหน้าอย่างมากอีกด้วย ในขณะที่องค์การอนามัยโลกชื่นชมประเทศไทย
ว่าเป็นต้นแบบและแหล่งเรียนรู้หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
จะเห็นว่าเป็นระบบที่ยั่งยืน เพราะสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนได้อย่างเข้มแข็ง
ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยกว่า
48.8 ล้านคน (73.7 %)               จากจำนวนประชากรกว่า
66.2 ล้านคน ที่มีสิทธิ์ในหลักประกันสุขภาพที่ช่วยคุ้มครองดูแลสุขภาพ     ในด้านการรักษาโรค  ป้องกันโรค ส่งเสริมสุขภาพ และฟื้นฟูสมรรถภาพ
ตามข้อบ่งชี้ของแพทย์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
(
30 บาท รักษาทุกโรค) ได้แก่ (1) รักษาได้เฉพาะโรงพยาบาลรัฐ
อาจจะสร้างความลำบากให้กับผู้ที่อยู่ไกลจากโรงพยาบาลรัฐมาก (
2) ไม่คุ้มครองการรักษา   ที่เกินความจำเป็นพื้นฐาน
(
3) ไม่คุ้มครองการรักษาที่มีงบประมาณจัดสรรโดยเฉพาะ
โดยให้เป็นผู้ป่วยใน   เกินกว่า
15 วัน  การบำบัดผู้ติดยาเสพติด
ผู้ที่เกิดอุบัติเหตุทางรถ โดยมี พ.ร.บ. คุ้มครองอยู่ ซึ่งจะต้องใช้สิทธิ พ.ร.บ.
ให้ครบก่อน (
4) ไม่คุ้มครองกรณีโรคเรื้อรัง
และโรคที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในเกินกว่า
180 วัน ยกเว้นหากมีความจำเป็นจริง ๆ เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]