ระยอง 26 ก.ย.- รอง ผบ.ตร.-ผบช.ภ.2 เกาะติดการทำแผน 2 ผู้ต้องหาต่างชาติตัดตู้เอทีเอ็มธนาคารกรุงไทยและธนาคารกรุงเทพ สาขาระยอง หลังถูกล็อคตัวที่สุราษฎร์ฯ จากพิกัดจีพีเอส พบประวัติทำมาหลายครั้งจนขึ้นแบล็คลิสต์
เมื่อเวลา 16.00 น. (26 ก.ย.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อม พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ลงพื้นที่อำนวยการทำแผนประกอบคำรับสารภาพของ 2 ผู้ต้องหาชายชาวต่างชาติ อายุ 51 ปี และ 65 ปี หลังถูกตำรวจ สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี ควบคุมตัวได้พร้อมเพื่อนหญิงต่างชาติอีก 1 คน ขณะเข้าพักที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา เนื่องจากพบพิกัดสัญญาณจีพีเอสของรถยนต์ จากการก่อเหตุใช้เครื่องมืออุปกรณ์ระบบแก๊สตัดเจาะตู้เอทีเอ็ม 2 แห่ง คือ ธนาคารกรุงไทย สาขาท่าประดู ริมถนนสุขุมวิท อ.เมือง ได้เงินสดไป 110,700 บาท และตู้เอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพ สาขาระยอง สามแยกตากสิน ถนนสุขุมวิท โดยผู้ต้องหาทั้งสองรับสารภาพ ส่วนหญิงยังคงให้การปฏิเสธ
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า สำหรับคดีนี้ตำรวจเมืองระยองได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบันทึกภาพผู้ก่อเหตุชัดเจนทั้ง 2 แห่ง ช่วงวันที่ 14-15 ก.ย.ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าเป็นชุดเดียวกัน เนื่องจากมีการแต่งกาย การเดิน การใช้อุปกรณ์ก่อเหตุเหมือนกัน แต่เปลี่ยนยานพาหนะใช้ก่อเหตุ อีกทั้งได้ตรวจสอบเส้นทางการหลบหนีพบรถยนต์ 2 คัน มาจากเมืองพัทยาและเป็นชาวต่างชาติ จึงประสานไปตามศูนย์เช่ารถในพื้นที่เมืองพัทยา กระทั่งพบว่าผู้เช่ารถทั้งสองคันและเบอร์โทรศัพท์เป็นคนเดียวกัน คือ Mr.Nikolic Lav มากับพวกอีก 2 คน คือ Mr.Skocic Nenad และเพื่อนหญิง (ที่ยังปฏิเสธ) จึงได้ตรวจสอบสัญญาณพีจีเอสของรถยนต์พบพิกัดมาที่สุราษฎร์ธานี และได้ประสานให้ตำรวจท้องที่ช่วยควบคุมตัว พร้อมของกลางทั้งหมด 21 รายการ และแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์สิน โดยใช้ยานพาหนะเพื่อความสะดวกแก่การกระทำผิด ฯ หรือเพื่อให้พ้นการหลบหนี
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวด้วยว่า การตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหาพบว่าเคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้ว เมื่อปี 2553 งัดตู้เอทีเอ็ม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขากระเฉด อำเภอเมืองระยอง ถูกจับพร้อมของกลางและดำเนินคดีตามกฎหมาย , ต่อมาปี 2558 ถูกตำรวจ สภ.ท่าลี่ จ.เลย จับกุมพร้อมของกลางใช้งัดตู้เอทีเอ็ม ถูกดำเนินคดีและถูกส่งตัวกลับประเทศ รวมทั้งขึ้นบัญชีผู้ไม่พึงปรารถนา (บัญชีดำห้ามเข้าประเทศ) จากนั้นผู้ต้องหาได้ทำการเปลี่ยนชื่อสกุลและหนังสือเดินทางเข้ามาก่อเหตุอีกครั้งและถูกจับกุมได้.-สำนักข่าวไทย