กรุงเทพฯ 26 ก.ย. – สภาสถาปนิกมีความเห็นว่า ทอท.ไม่ควรเปลี่ยนแผนแม่บทสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะยังอยู่ในขั้นดำเนินการ ซึ่งจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 120 ล้านคนต่อปี ขณะที่พิกัดโครงการอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ไม่เอื้อต่อการรองรับผู้โดยสาร 30 ล้านคนต่อปี และอาจทำให้เกิดปัญหาการสัญจรทางอากาศ
พลเรือเอกฐนิธ กิตติอำพล นายกสภาสถาปนิก กล่าวถึงโครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร หลังที่ 2 สนามบินสุวรรณภูมิ ว่า ตำแหน่งที่ตั้งของอาคารดังกล่าวไม่สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของท่าอากาศยานที่มีอยู่ ทำให้อาจมีปัญญาทางเทคนิค อาทิ ปัญหาการสัญจรทั้งภาคอากาศและภาคพื้น ปัญหาการบริหารจัดการการบริการด้านการบิน รวมทั้งอาจเพิ่มต้นทุนบริหารจัดการระยะยาว ซึ่งในฐานะนายกสมาคมสถาปนิกมีความเห็นว่าการก่อสร้างควรเป็นไปตามแผนแม่บทที่วางไว้เดิม ซึ่งวางแผนให้สนามบินสุวรรณภูมิเติบโตจนสามารถรองรับนักเดินทางได้ 100-120 ล้านคนต่อปี
ด้านหม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน สถาปนิกที่ปรึกษา กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ดำเนินการตามแผนแม่บท อาทิ การสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 ขยายอุโมงค์เพื่อรองรับผู้โดยสารให้เพิ่มขึ้นอีก 15-20 ล้านคนต่อปี และมีการว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาบริหารจัดการโครงการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 วงเงิน 809,990,000 บาท และว่าจ้างออกแบบงานส่วนขยายอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 ออกไปทางปีกด้านตะวันออกตามแผนแม่บท วงเงิน 148 ล้านบาท แต่มีข้อสังเกตว่าไม่มีการก่อสร้าง
นายสมเจตน์ ทิณพงษ์ ประธานกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) และอดีตผู้บริหารบริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด หรือ บทม. กล่าวถึงแผนแม่บทสนามบินสุวรรณภูมิ ว่า แผนดังกล่าวแม้จะจัดทำขึ้นมา 20 กว่าปี แต่ไม่ใช่แผนที่ล้าสมัย เพราะยังใช้ในปัจจุบัน จึงยังอยู่ในขั้นดำเนินการ การก่อสร้างทุกอย่างที่ผ่านมาและในอนาคตถูกกำหนดผังไว้แล้วอย่างชัดเจนและสอดรับกันหมด ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้นอกจากเทคโนโลยี นอกจากนี้ การปรับแผนแม่บท และเพิ่มโครงการอาคารผู้โดยสารหลังใหม่ Terminal 2 ไม่พบว่าใครเป็นผู้กำหนดพิกัดจุดก่อสร้างและไม่มีรายการคำนวณสนับสนุน ที่พิสูจน์ว่าจะทำให้สนามบินสุวรรณภูมิเติบโตสามารถรองรับผู้โดยสารได้อีก 30 ล้านคนต่อปี ตามวัตถุประสงค์ โดยส่วนตัวคิดว่าไม่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ขนาดนี้ ภายใต้ 14 หลุมจอด ในพิกัดนี้ และจะก่อให้เกิดปัญหาการสัญจรอีกด้วย.-สำนักข่าวไทย