กรุงเทพฯ 25 ก.ย. – สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ส.ค.ขยายตัวร้อยละ 0.7 บวกต่อเนื่อง 16 เดือน คาดทั้งปีขยายตัวตามเป้าร้อยละ 2.5-3.0
นายณัฐพล รังสิตพล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม(สศอ.) แถลงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม หรือ MPI เดือนสิงหาคม 2561 ว่า ขยายตัวร้อยละ 0.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2561 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 3.6 เทียบกับช่วงเดียวกันปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 1.5 และตลอดปีนี้คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัวใกล้เคียงเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.5-3.0
ด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนสิงหาคม 2561 อยู่ที่ร้อยละ 65.87 โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลบวก ได้แก่ น้ำตาลทราย ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ น้ำมันปิโตรเลียมและเภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ทางยา
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมสำคัญไตรมาส 4 ปี 2561 ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร คาดว่า ขยายตัวร้อยละ 7.4 โดยมีทิศทางดีขึ้นทั้งการบริโภคภายในและการส่งออกที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าหลักของไทยอย่างสหรัฐ สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน CLMV รวมทั้งการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้น เช่น อาเซียน แอฟริกาและตะวันออกกลาง ตามด้วยอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาง คาดว่าการผลิตยางรถยนต์จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.15 ถุงมือยาง ถุงมือตรวจ จะขยายตัวร้อยละ 3.80 จากแนวโน้มความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน ไตรมาส 4 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 1.5 การใช้ภายในประเทศมีปริมาณรวม 4.4 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
ส่วนสงครามการค้าจีนกับสหรัฐนั้น จากการประเมินของ สศอ.มีแนวโน้มว่าจะมีผลระยะยาว และจีนน่าจะตอบโต้สหรัฐต่อไป ส่วนสหรัฐหากจะยกระดับตอบโต้จีนเพิ่มเติม หลายสำนักวิเคราะห์ว่าไม่น่าจะไม่ใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้า แต่เป็นการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์มากกว่า อย่างไรก็ตาม ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยมีทั้งปัจจัยด้านบวกและด้านลบ แตกต่างกันไปขึ้นกับลักษณะประกอบการของแต่ละผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าจีนกับสหรัฐระยะยาวจะส่งผลกระทบทางลบทั้งโลก แต่ผลกระทบยังไม่ชัดเจนต้องดูว่าจะมีมาตรการตอบโต้ออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ แต่ขณะนี้วิกฤติค่าเงินที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ เช่น ตุรกี อาเจนติน่า บราซิล อินเดีย และฟิลิปปินส์ ส่งผลให้เงินไหลออกประเทศเหล่านี้ โดยส่วนหนึ่งไหลไปลงทุนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่นักลงทุนเห็นว่าปลอดภัยและสหรัฐยังมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ส่วนปัจจัยบวกภายในประเทศ คือ ความชัดเจนที่ไทยจะมีการเลือกตั้งต้นปีหน้า-สำนักข่าวไทย