กรุงเทพฯ 20 ก.ย.- กสอ.แถลง ยืนยันศักยภาพ ผู้ประกอบการภาคการผลิต การค้า และบริการ ไทยในภาพรวมปรับตัวดีขึ้น โดยโรงงานระดับ 4.0 มีถึง 30 โรงงาน
ตามที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.)ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผลสำรวจศักยภาพ ผู้ประกอบการภาคการผลิต การค้า และบริการ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2561 จำนวน 1,500 กิจการ และมีการแถลงผลการประเมินโดยระบุว่า ศักยภาพของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมในภาพรวมของปี 2561 อยู่ในระดับ 2.0 ในเกือบทุกมิตินั้น
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองอธิบดี กสอ. ระบุว่า การประเมินศักยภาพผู้ประกอบการฯ ที่ร่วมกับส.อ.ท. ก็เพื่อจะได้ทราบว่า ภาครัฐจะให้ความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของผลการประเมินครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งมีผู้ตอบแบบสอบถาม 1,500 ราย จากส่งไปสมาชิกส.อ.ท. 12,000 ราย พบว่า ระดับศักยภาพผู้ประกอบการ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลการสำรวจในช่วงปี 2559-2560 ที่ประเมิน 150 ราย พบว่า ในปีนี้ ศักยภาพผู้ประกอบการไทยในภาพรวมปรับตัวเข้มแข็งเพิ่มขึ้น โดยเห็นได้จากสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมในระดับ 4.0 หรือระดับที่มีความเข้มแข็งมาก สามารถก้าว สู่ระดับสากลได้ ต่างจากปีก่อนหน้าที่ยัง ไม่มีภาคธุรกิจใดอยู่ในระดับนี้เลย แต่ปีนี้หลังการประเมิน พบว่า มีถึง 30 โรงงาน นับเป็นการศักยภาพปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีสัดส่วน คิดเป็นร้อยละ 2 ของจำนวนโรงงานที่ประเมินทั้งหมด โดยอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ดิจิตอล และวัสดุก่อสร้าง
ทั้งนี้ กสอ.และส.อ.ท. ตั้งเป้าหมายว่า ในช่วง 10 ปีนับจากปี 2561 จะยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการไทยในภาพรวมในภาคการผลิตที่มีจำนวนประมาณ 500,000 ราย ให้มีศักยภาพอยู่ในระดับ 3.0-4.0 และยกระดับต่อไปอยู่ในระดับ 5.0 ต่อไปในอนาคต โดยปีหน้าคาดว่า ผลการประเมินจะพบว่า มีจำนวนผู้ประกอบการที่อยู่ในระดับ 4.0 จะมีจำนวนเกินกว่า 60 โรงงาน
ส่วนผู้ประกอบการ ระดับ 3.0 หรือระดับที่มีความเข้มแข็ง มีสัดส่วน เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว จากเดิมร้อยละ 15 ในปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 28 ในปี 2561 มีโรงงานระดับนี้เพิ่มเป็น 420 โรงงาน จากเดิมมีเพียง 22 โรงงานเท่านั้น
ด้านสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมในระดับ 2.0 หรือระดับทั่วไป ก็พบว่า มีศักยภาพปรับตัวดีขึ้น เห็นจากโรงงานลดลงจากร้อยละ 74 ในปี 2559 ลดลงเหลือ ร้อยละ 61 ในปี 2561 และสัดส่วนของภาคอุตสาหกรรมในระดับ 1.0 หรือระดับขั้นพื้นฐาน ก็มีจำนวนปรับตัวลดลง จากร้อยละ 11 ในปี 2559 เป็นร้อยละ 9 ในปี 2561
การปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มไปในทิศทางที่เข้มแข็งนั้น เป็นผลมาจากนโยบาย อุตสาหกรรม 4.0 ของภาครัฐที่มุ่งส่งเสริมพัฒนาให้วิสาหกิจ ปรับเปลี่ยนกระบวนการ ดำเนินธุรกิจโดย ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล หุ่นยนต์ เครื่องจักรกลและระบบอัตโนมัติ
ผลการสำรวจยังได้ระบุว่า ภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติมาใช้ในหลายจุดของกระบวนการ แต่ยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลตลอด Supply Chain ผ่านระบบ IT ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรม ก็ได้เตรียมชุดมาตรการ ทั้งทางการเงินและที่มิใช่ทางการเงิน ร่วมกับองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบัน การศึกษา และสถาบันการเงินต่าง ๆ เร่งส่งเสริมให้สถานประกอบการพัฒนาสู่อุตสาหกรรม 4.0 เต็ม รูปแบบ โดยคาดว่าจะทำให้สถานประกอบการ มีผลิตภาพเพิ่มขึ้น หรือลดต้นทุนให้ได้มากกว่าร้อยละ 30
สำหรับมาตรการที่ไม่ใช่การเงินนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับเครือข่าย Big Brother จะให้ บริการผ่านศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 หรือ Industrial Transformation Center (ITC) ที่มีอยู่ ทั่วประเทศ ในการให้ความรู้ คำปรึกษาแนะนำ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การสาธิตกระบวนการผลิต ที่ใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และการรับรองมาตรฐาน นอกจากนี้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ยังได้ลงนามความร่วมมือกับสถาบันการเงิน และองค์กรต่างประเทศต่าง ๆ อาทิ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ อาลีบาบาจากจีน และ SMRJ จากญี่ปุ่น ในการสนับสนุน SMEs ให้เข้าสู่ Digital Marketing ทั้งในรูปแบบ B2B และ B2C รวมถึงผลักดันให้ SMEs เข้าสู่แพลทฟอร์ม T-GoodTech เพื่อเชื่อมโยงกับตลาดโลกอีกด้วย
ส่วนมาตรการทางการเงินนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ร่วมกับ SME Bank ในการปล่อยสินเชื่อ Transformation Loan สูงสุดรายละ 15 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4 แก่สถานประกอบการที่ประสงค์จะปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ไปสู่ระบบ 4.0
สำหรับการจะขับเคลื่อน SMEs ทั่วประเทศไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 นั้น อาจต้องใช้เวลาแต่ด้วยการบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา และสถาบันการเงินอย่างเข้มข้นในขณะนี้ เชื่อว่า SMEs ไทยจะปรับตัวให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างแน่นอน
การสำรวจศักยภาพผู้ประกอบการครั้งนี้ ใช้เครื่องมือ Self-Assessment ที่มีการวัดผลออกมาเป็นระดับ 1.0 – 4.0 ใน 6 มิติสำคัญ ได้แก่ มิติที่ 1 Smart Operation มิติที่ 2 Strategy & Orgnaization มิติที่ 3 Workforce มิติที่ 4 Technology & Innovation มิติที่ 5 Market Customer & Standard และมิติที่ 6 IT & Data Transaction
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรม และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เห็นว่าหัวข้อที่ใช้ในการประเมินศักยภาพอุตสาหกรรมยังต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถสะท้อนถึงระดับพัฒนาการของภาคอุตสาหกรรมไทยได้อย่างแม่นยำ และเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าวในการกำหนดนโยบายและมาตรการส่งเสริมสนับสนุนต่อไป
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่าผลการประเมินครั้งนี้มีประโยชน์ต่อ ส.อ.ท. อย่างยิ่งเพราะทำให้รู้สถานะปัจจุบันของอุตสาหกรรมไทย เพื่อนำไปใช้วางแนวนโยบายสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เกิดการพัฒนาและยกระดับศักยภาพการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมได้อย่างตรงจุดมากขึ้น ทั้งนี้ สอท.พร้อมเดินหน้าแผนการขับเคลื่อนนโยบาย Industry Transformation ที่มีหลากหลายโครงการรองรับอยู่ และบางโครงการที่มีการดำเนินงานอยู่แล้ว
นายมาตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวว่า จากการวัดศักยภาพผู้ประกอบการใน 6 มิติ พบว่า ด้านที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องได้รับการปรับปรุงศักยภาพมากที่สุดคือ ค่าเฉลี่ยเป็นเรื่องของการตลาดและขาคความเข้มแข็งด้านการเข้าใจลูกค้า ไม่ได้เป็นเรื่องของการไม่เป็นเรื่องการขาดการใช้เทคโนโลยี สำหรับการสำรวจศักยภาพ ผู้ประกอบการภาคการผลิต การค้า และบริการ ครั้งต่อไปในปีหน้า คาดว่า จะมีผู้ประกอบการตอบกลับการประเมินถึง 4,000 ราย และทิสทางการปรับศักยภาพผู้ประกอบการจะดียิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย