กรุงเทพฯ 9 ส.ค. – บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC กำไรสุทธิ ไตรมาส/2 รวม 10,828 ล้านบาท แม้จะรับรู้ผลกระทบสต๊อกปาล์ม จีจีซีล่องหนกว่า 1,300 ล้านบาทก็ตาม มีเงินสดกว่า 5.3 หมื่นล้านบาท พร้อมลงทุนเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ ล่าสุด ซื้อธุรกิจในประเทศอีก 2 โรงงาน รวมกว่า 4.1 พันล้านบาท
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยว่า ณ สิ้นไตรมาส 2/2561 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด และ รวมเงินลงทุนชั่วคราว 44,313 ล้านบาท และเมื่่อรวมกับ เงินลงทุนระยะยาวใน Private Fund จำนวน 8,710 ล้านบาท บริษัทเสมือนมีเงินสด 53,024 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้้สินต่อทุนสุทธิ 0.17 เท่า จึงมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มโดยมองหาโอกาสทั้งในและต่างประเทศ เช่น ใน ภูมิภาค CLMV และอาเซียน รวมไปถึงสหรัฐ ซึ่งโครงการปิโตรเคมีในสหรัฐนั้นยืนยันจะมีความชัดเจนในไตรมาส 1/2562
“บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสการลงทุนใหม่ (Greenfield) ธุรกิจปิโตรเคมีใน CLMV โดยเฉพาะในเวียดนาม ที่มีอัตราการใช้เม็ดพลาสติกเติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะนี้ 1 ล้านตัน/ปี ทางจีซี มียอดขายร้อยละ20 และ 5 ปีข้างหน้า คาดเวียดนามความต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านตัน/ปี ขณะนี้บริษัทตั้งสำนักงานขายแล้วในเวียดนามและมีแผนที่จะจัดตั้งสำนักขายในอินโดนีเซีย และเมียนมา ในช่วงปลายปีนี้อีกด้วย” นายสุพัฒนพงษ์ กล่าว
สำหรับกรณีวัตถุดิบคงคลังของ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC หาย และต้องบันทึกค่าใช้จ่ายจากความเสียหายราว 2,004 ล้านบาทนั้น เบื้องต้นจะกระทบต่อผลประกอบการไตรมาส 2 ของ PTTGC เพียงเล็กน้อย หรือจากสัดส่วนการถือหุ้นใน GGC ที่ ร้อยละ72 โดยคาดว่าผลการดำเนินงานทั้งปีนี้ จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2560
สำหรับผลการดำเนินการไตรมาส 2/2561 ของ จีซี มีรายได้จากการขาย 128,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 มีAdjusted EBITDA 15,902 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 10,828 ล้านบาท (2.40 บาท/หุ้น) ซึ่่งกำไรสุทธิในไตรมาสนี้้ได้รับรู้ค่าใช้จ่ายจากความ เสียหายจากวัตถุดิบคงคลังของจีจีซี 1,388 ล้านบาท ตามสัดส่วนการถือหุ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับตัวลดลงร้อยละ13จากไตรมาส 1/2561 แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/2560 กำไรสุทธิปรับ เพิ่มขึ้น ถึงร้อยละ 64 และผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 23,215 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 /61 บริษัทมีค่าการกลั่น 6.20 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล และเมื่อรวมกำไรสต๊อกน้ำมัน 2,672 ล้านลาท แล้วค่าการกลั่นทางบัญชีจึงอยู่ที่ 9.54 ดอลลาร์/บารเรล์ สูงกว่าไตรมาส 1/61 ที่ค่าการกลั่นอยู่ที่ 6.15 ดอลลาร์/บาร์เรล และค่าการกลั่นรวมสต๊อกอยู่ที่ 6.04.ดอลลาร์/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบดูไบไตรมาส2/61 ราคาปิดที่ 72.09 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ไตรมาส1/61 อยู่ที่ 63.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนแนวโน้มราคาน้ำมัน ในช่วงที่่เหลือของปี คาดว่าราคาน้ำดิบดูไบเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 72 ดอลลาร์/บาร์เรล โดย คาดว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมกำลังการผลิตร่วมกันของกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก ผลกระทบจากการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรของประเทศสหรฐัอเมริกาต่อประเทศอิหร่าน และปัญหาการผลิตน้ำมันดิบที่ลดลง ของเวเนซูเอล่าและประเทศแคนาดา อย่างไรก็ดีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐอเมริกา และการคาดการณ์ผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศจีนคาดว่าจะเป็นปัจจัยลบต่อราคาน้ำมันดิบ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2561 บริษัทและบริษัทในเครือได้ลงนามในสัญญาจะซื้อขายหุ้นบริษัท Siam Mitsui PTA Company Limited (SMPC)ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์กรดบริสุทธิ์เทเรพาธิค (PTA) สัดส่วน ร้อยละ74 และ Thai PET Resin Company Limited (TPRC) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจกลุ่มผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกโพลีเอทิลีนเรฟทาเลต (PET) สัดส่วน ร้อยละ 74 ทั้งทางตรงและทางอ้อม จากบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCG Chemicals) และบริษัท Mitsui Chemicals, Inc. (MCI) คิดเป็นเงินลงทุนประมาณ 125 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 4,148 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 33.3 บาทต่อดอลลาร์) . – สำนักข่าวไทย