อิมแพ็ค ฟอรั่ม 8 กค.กระทรวงสาธารณสุขจับมือราชวิทยาลัย รณรงค์ตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกคลอด หากพบก่อน 6 เดือน รักษาได้
นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง เสาวรส ภทรภักดิ์ ประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์ แห่งประเทศไทยและนายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี ร่วมกันเปิดเผยว่า การสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการพัฒนาทางอารมณ์และสังคมของเด็กโดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรกของชีวิต การสูญเสียการได้ยิน พบได้ 3-5 คนในทารกปกติ 1000 คน โครงการรณรงค์ “การตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกคลอด” เป็นการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์รัฐบาลในการลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อค้นหาเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ให้เข้าถึงบริการรักษา โดยจัดบริการตรวจคัดกรองการได้ยินตั้งแต่แรกคลอดในโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ ใช้วิธีการตรวจวัดเสียงสะท้อนจากหูชั้นใน (Otoacoustic emission ; OAE) ซึ่งเป็นวิธีพื้นฐานไม่ซับซ้อน หากพบว่ามีภาวะบกพร่องทางการได้ยินจะส่งต่อเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาต่อไป
นพ.เจษฎา กล่าวต่อว่า ภาวะบกพร่องทางการได้ยินส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการของเด็กในด้านภาษา การเรียนรู้ในสังคม การเรียน การงาน และคู่ครองในอนาคต ซึ่งหากสามารถตรวจหาสาเหตุ และวินิจฉัยโรคประสาทหูเสื่อมได้ก่อนอายุ 6 เดือน และได้รับการรักษา เช่น ใส่เครื่องช่วยฟัง แก้ไขฟื้นฟู ฝึกพูด ฝึกฟัง ทำการผ่าตัด จะสามารถมีพัฒนาการด้านต่างๆ เท่าทันเด็กทั่วไป จึงขอเชิญชวนประชาชนพาบุตรแรกคลอดที่ยังไม่ได้รับการตรวจคัดกรอง หรือหากมีอายุ 1 ปีแล้ว สงสัยว่ามีปัญหาการได้ยินเช่นเรียก พ่อ แม่ไม่ได้ ขอให้รีบพามาตรวจและรับการรักษา
สำหรับทารกกลุ่มเสี่ยงมีปัญหาการได้ยินบกพร่อง ได้แก่ 1 ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่า 1,500 กรัม หรือคลอดก่อนกำหนด // 2.มีความผิดปกติของศีรษะ ใบหน้า และหูแต่กำเนิด มารดาได้รับยาหรือสารที่เป็นพิษต่อเด็กขณะตั้งครรภ์ // 3.มารดามีการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ // 4.ภาวะตัวเหลืองจนต้องถ่ายเลือด // 5.มีบุคคลในครอบครัวเป็นโรคประสาทหูพิการ เป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด // 6.มีปัญหาระหว่างคลอด ต้องอยู่ในหออภิบาลผู้ป่วยแรกเกิด // 7.ได้ใช้เครื่องช่วยหายใจ ได้รับยาที่มีพิษต่อหู // 8.ภาวะขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์หรือระหว่างคลอด // 9.มีลักษณะที่เข้ากับโรคทางพันธุกรรมที่มีความผิดปกติทางการได้ยิน // 10.ภาวะน้ำตาลต่ำหลังคลอด หรือภาวะที่มารดามีน้ำตาลในเลือดสูงในคณะตั้งครรภ์
โดยจะขยายไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพ อบรมระยะสั้นให้แก่เจ้าหน้าที่ เพิ่มการผลิตแพทย์เฉพาะทางด้านหู และนักโสตสัมผัสและสื่อความหมาย จัดหาอุปกรณ์ในการตรวจคัดกรองการได้ยิน รวมถึงการจัดระบบติดตามความก้าวหน้า และส่งต่อผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพ.- สำนักข่าวไทย