นครราชสีมา 12 ก.ค.-เจ้าหน้าที่ธนาคารงง หนุ่มโคราชเมาหนัก นอนหลับไม่ได้สติหลังตู้เอทีเอ็ม พร้อมสะพายทองหนัก 22 บาท โชคดีที่ไม่หาย
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 12 ก.ค. พ.ต.ต.สุทธิรักษ์ ลัคนาลิขิต สว.ป.สภ.เมืองนครราชสีมา รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคาร มีคนเมาลักษณะคล้ายเมาสุรา หรือโดนวางยา นอนพื้นปูนหลังตู้เอทีเอ็ม ด้านหลัง ธ.กรุงไทย สาขาถนนช้างเผือก ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา ภายในกระเป๋าสะพายพบทองคำแทงจำนวนมาก จึงประสานกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจเดินทางไปตรวจสอบ พบเป็นชายอายุ 32 ปีชาวอำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา อยู่ในสภาพนอนคว่ำหน้า หมดสติมีกลิ่นเหล้าไม่แรงมาก แต่ท่าทางเหมือนจะเมาอย่างหนัก หรือไม่ก็ถูกวางยา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจสอบในกระเป๋าสะพายสีดำวางอยู่ พบทองคำแท่งทั้งหมด 22 แท่งๆ ละ 10 บาท น้ำหนักรวม 220 บาท มูลค่า เกือบ 5 ล้านบาท สอบสวนเบื้องต้นยังคุยไม่รู้เรื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงประสานญาติมาสอบสวน พร้อมกับนำตัวชายคนดังกล่าว ส่ง รพ.มหาราช นครราชสีมา เพื่อตรวจหาสาเหตุของอาการการเมา
อย่างไรก็ตามจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย ทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเห็นชายคนดังกล่าวขับรถเก๋ง Honda Accord สีขาวทะเบียน ขข 8444 นครราชสีมา มาจอดบริเวณลานจอดรถของธนาคาร บริเวณด้านหน้า จากนั้นได้เดินสะพายกระเป๋าเข้ามาในธนาคารและเดินทะลุประตูด้านหลังหายไป กระทั่งมีเจ้าหน้าที่ของธนาคาร มาพบนอนหมดสติบริเวณดังกล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา ได้ติดต่อนางสาวเปิ้ล ภรรยาของชายคนดังกล่าวมาให้การว่า สามีมีอาชีพขายรองเท้า โดยตนเองและสามีเก็บหอมรอมริบซื้อทองคำเก็บสะสมเพื่อเก็งกำไรแต่ช่วงนี้เห็นว่าราคาทองคำตก สามีจึงไปเบิกทองคำที่ธนาคารแห่งหนึ่งในเขตตัวเมืองนครราชสีมา และขาดการติดต่อไป กระทั่งได้รับแจ้งจากตำรวจ จึงได้เดินทางมาดูซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นเนื่องจากสามีก็ยังพูดจาไม่รู้เรื่อง
เบื้องต้นคาดว่า ภายหลังจากที่ผู้ชายคนดังกล่าวได้ไปเบิกทองคำที่ธนาคารมาแล้ว อาจจะแวะไปดื่มเหล้ากับเพื่อน กระทั่งเมาอย่างหนักก่อนที่จะขับมาที่ธนาคารดังกล่าว โดยยังไม่ทราบว่าสาเหตุที่ขับมานั้นจะมาติดต่อทำธุระกรรมการเงินอะไรอีกหรือไม่ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ทองคำทั้งหมดอยู่ครบ หรือไม่ผู้ประสบเหตุอาจจะไปดื่มเหล้าจนเมาอาจจะมีสาวมอมเหล้า หรืออาจจะโดนวางยา แต่ชายคนดังกล่าวอาจจะประคองสติจนขับรถเข้ามาในธนาคาร และมานอนไม่ได้สติอยู่ที่เกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งเจ้าหน้าที่ต้องรอให้ฟื้นขึ้นมาจนอาการปกติจะได้สอบสวนหาสาเหตุให้แน่ชัดต่อไป.-สำนักข่าวไทย