กรุงเทพฯ 25 ก.ย. – กฎหมายปราบโกงที่เตรียมนำมาใช้เร็ว ๆ นี้จะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เฉพาะฝ่ายบริหาร แต่รวมถึงฝ่ายนิติบัญญัติและตุลาการ ส่วนประเด็นที่เรื่องการชาร์จโทรศัพท์มือถือส่วนตัวในที่ทำงานจะสามารถทำได้หรือไม่
หนึ่งในคณะร่วมยกร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม หรือที่เรียกกันว่ากฎหมายปราบโกง ให้ข้อมูลว่า เจตนารมณ์ของร่างกฎหมายฉบับนี้เพื่อป้องปรามการใช้อำนาจในทางมิชอบ ให้รู้ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ไม่ใช่เพื่อมุ่งเอาผิด และให้สอดรับกับการที่ไทยให้สัตยาบัน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริตไว้เมื่อปี 54
การกระทำที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน ที่สำคัญได้แก่ เห็นชอบกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อกิจการของตนเอง คู่สมรส บุตร หรือบิดามารดาที่มีส่วนได้ส่วนเสีย อนุมัติโครงการโดยทุจริตหรือเอื้อประโยชน์ ต่อตนเองหรือบุคคลอื่น เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ รับของขวัญราคาแพงกว่าที่ ป.ป.ช.กำหนด ใช้ข้อมูลภายในของรัฐที่ยังเป็นความลับโดยทุจริต ใช้ทรัพย์สินในหน่วยงานที่ตนสังกัดเพื่อประโยชน์ของตนและผู้อื่น
ซึ่งประเด็นการใช้ทรัพย์สินกำลังกลายเป็นข้อถกเถียงว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ อย่าง การชาร์จโทรศัพท์มือถือในที่ทำงาน ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่าหากได้รับอนุญาตก็สามารถทำได้ ซึ่งกฎหมายยังกำหนดให้แต่ละหน่วยงานออกระเบียบให้ชัดเจน โดยเฉพาะใน 4 เรื่อง ได้แก่ การใช้ยานพาหนะ เครื่องมือสื่อสาร อาคารสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ในสำนักงาน
ร่างกฎหมายฉบับนี้มีโทษจำคุกสูงสุด 3-5 ปี บังคับใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ รวมถึงนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่ถือเป็นความผิดทางการเมือง โทษคือถูกถอดถอนตำแหน่งเท่านั้น แต่ภายใต้กฎหมายนี้ต้องรับโทษอาญาด้วย ครอบคลุมไปถึงคู่สมรส บุตร บิดา มารดา ไม่เว้นแม้แต่ ป.ป.ช.ที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย หากทำผิดเองต้องรับโทษเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ร่างกฎหมายฉบับนี้ เคยถูกผลักดันมาแล้ว หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีต ป.ป.ช. ที่เคยร่วมผลักดัน ให้ข้อมูลว่า ในขณะนั้น สำนักงาน ป.ป.ช เตรียมตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลโดยเฉพาะ แต่ร่างกฎหมายถูกตีตกไปเมื่อปี 51 เนื่องจากสมาชิก สนช.ที่เข้าพิจารณาไม่ครบองค์ประชุม ทำให้ต้องหยุดชะงักไป การที่ร่างกฎหมายนี้ถูกนำมาปัดฝุ่นเดินหน้าอีกครั้งเป็นเรื่องดี ซึ่งได้ลดการลงโทษจำนวนชั้นเครือญาติที่เกี่ยวข้องลง และกำหนดรายละเอียดการทำผิดชัดเจนขึ้น ซึ่งยังคงมุ่งเน้นการทำผิดที่ก่อความเสียหายต่อรัฐ เพราะการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวกับส่วนรวมมักเป็นจุดเริ่มต้นของการทุจริต
ล่าสุด คณะกรรมการกฤษฎีกาได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จสิ้นแล้ว และเตรียมนำเนื้อหาร่างกฎหมายเผยแพร่ในเว็บไซต์ โดยมีกำหนดส่งร่างฯ ให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีในวันที่ 26 กันยายนนี้ ก่อนนำเข้า ครม. และเสนอให้ สนช.เห็นชอบต่อไป คาดว่าจะเป็นของขวัญให้กับประชาชนได้ทันในช่วงปีใหม่นี้. – สำนักข่าวไทย