อุดรธานี 9 พ.ค.-ตำรวจอุดรธานี จับ 2 โจ๋ทุบตู้เติมเงินโทรศัพท์ในพื้นที่ โดยก่อเหตุรวม 63 ตู้ เสียหายกว่า 2.5 ล้านบาท สารภาพหาเงินไปเที่ยวเตร่, เลี้ยงสาว และซื้อยาเสพติด
พ.ต.อ.วิบูลย์ วงศ์ก้อม รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมคณะ ร่วมกันแถลงข่าวจับโจรทุบตู้เติมเงินมือถือทั่วอุดรธานี ประกอบด้วยนายอัษฎาวุธ หรือ “นิก” นุ้ยแท่น อายุ 27 ปี ชาวอำเภอเมือง จ.นครนายก และนายปฏิภาณ หรือ “ฟลุ๊ค” วงษ์บู่ทอง อายุ 21 ปี ชาวอำเภอเมืองอุดรธานี พร้อมของกลางรถกระบะและรถจักรยานยนต์ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ก่อเหตุไม่ว่าจะเป็น เหล็ก ประแจ และชุดที่สวมใส่ โดยตั้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้น สำหรับคุ้มครองทรัพย์ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การหลบหนี หลังถูกจับกุมตัวได้ที่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.โคกสะอาด อ.เมืองอุดรธานี
สืบเนื่องจากห้วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.เมืองอุดรธานี, สภ.บ้านผือ, สภ.หนองวัว, สภ.กุดจับ และ สภ.บ้านเทื่อม ต่างได้รับแจ้งว่า ตู้เติมเงินโทรศัพท์ของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถูกทุบตู้จนพัง โดยไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร ตรวจสอบพบเสียหายรวม 63 ตู้ เงินหายไปรวม 2,500,000 บาท ชุดสืบสวน บก.ภ.จว.อุดรธานี จึงระดมชุดสืบสวนเข้าคลี่คลายคดี กระทั่งได้ภาพวงจรปิด ซึ่งเป็นเบาะแสสำคัญที่พบคนร้ายอายุประมาณ 20-30 ปี ขับรถกระบะเข้ามาก่อเหตุ จากนั้นวันที่ 8 พฤษภาคม ตำรวจชุดสืบสวนจึงพบรถกระบะคันที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ กระทั่งแกะรอยจนทราบว่าเจ้าของเป็นใคร จึงควบคุมตัวไปสอบสวน
ด้านนายอัษฎาวุธ ให้การกับตำรวจว่าเคยทำงานที่เกาะสมุยและมีแฟนสาวเป็นชาวอุดรฯ ที่ทำงานด้วยกัน กระทั่งถูกจับกุมในข้อหายาเสพติด ก่อนแยกย้ายกลับไปยังภูมิลำเนา จากนั้นเมื่อ 4 เมษายนที่ผ่านมา นายอัษฎาวุธ ได้ขับรถจากนครนายกมาหาแฟนสาว และพักอาศัยอยู่ที่บ้านแฟนสาว แต่ทว่าเงินหมด จึงตัดสินใจก่อเหตุทุบตู้เติมเงินดังกล่าวเป็นครั้งแรก ได้เงินไป 1,500 บาท จากนั้นจึงตระเวนทุบตู้เติมเงินทุกคืน เพื่อนำเงินไปเลี้ยงแฟนสาว, เที่ยวเตร่ และซื้อยาบ้ามาเสพ กระทั่งถูกจับ
พ.ต.อ.วิบูลย์ วงศ์ก้อม รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี เปิดเผยว่า ได้ควบคุมตัวคนร้ายทั้ง 2 ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ชี้ตามจุดที่คนร้ายได้ก่อเหตุ ซึ่งการที่คนร้ายทุบตู้เติมเงินโทรศัพท์มือถือ บริเวณหน้าปัด วงจร และระบบคอมพิวเตอร์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถนำกลับใช้งานได้จำนวน 63 ตู้ ค่าเสียหายตู้ละ 4 หมื่นบาท และลักเงินในตู้ไปประมาณ 1.5 แสนบาท รวมค่าเสียหายทั้งหมด ประมาณ 2.5 ล้านบาท จึงควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อไป.-สำนักข่าวไทย