สสว.โชว์สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัดเพิ่มรายได้-ผลิตภาพ ร้อยละ 21.06 ต่อปี

กรุงเทพฯ 29 ก.ย. – สสว.เปิดตัว“สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด” 222 กิจการ จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ ระบุ ช่วยเพิ่มรายได้และผลิตภาพ ร้อยละ 21.06 ต่อปี สานต่อปี 60


สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)โชว์ผลสำเร็จโครงการ “สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด” (SME Provincial Champions) ” ที่ช่วยเพิ่มรายได้และผลิตภาพแก่เอสเอ็มอีถึง ร้อยละ 21.06 ต่อปี โดยมี นางอรรชกา  สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และรองประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) เป็นประธานในพิธีมอบวุฒิบัตร พร้อมให้นโยบายในการที่ผู้ประกอบการจะยกระดับให้เป็น SME 4.0

นางอรรชกา กล่าวว่า เอสเอ็มอี ที่เข้าร่วมโครงการ “สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด” จะเป็นตัวอย่างที่เป็นแรงจูงใจให้เอสเอ็มอีรายอื่น ๆ ในภูมิภาคทั่วประเทศตื่นตัวที่จะยกระดับ การบริหารจัดการให้เป็นสากล  และการนำนวัตกรรมมาปรับปรุงสินค้าและบริการให้เป็นที่พึงพอใจของตลาดมากขึ้น


ส่วนการก้าวสู่ Industry 4.0 ตามนโยบาย Thailand 4.0 การพัฒนาผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ให้พัฒนาไปสู่การเป็น SME 4.0 จำเป็นต้องใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วย โดยอาศัยงานด้านวิจัยและพัฒนา และความคิดเชิงสร้างสรรค์เข้ามาสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า พร้อมกับการลดต้นทุนการผลิต การยกระดับผลิตภาพที่สูงขึ้น และการก้าวสู่ Industry 4.0 ประเทศไทยจำเป็นต้องสร้างอุตสาหกรรมใหม่ขึ้นในประเทศ ซึ่งหมายถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่รัฐบาลส่งเสริม หรือ  S-CURVE 10 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เพื่อให้ประเทศไทยก้าวสู่ Thailand 4.0 ในอนาคตข้างหน้า

 

นางอรรชกา กล่าวว่า การก้าวสู่ SME 4.0  มีความสำคัญที่จะช่วยให้ประเทศก้าวพ้นการติดกับดักประเทศรายได้ปานกลางที่มีรายได้ต่อคนต่อปีระดับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มเป็นกว่า 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี)เพิ่มขึ้น


นางสาลินี  วังตาล ผู้อำนวยการ สสว. กล่าวว่า ในปี 2559 “โครงการ “สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด” (SMEs Provincial Champions)  คัดเลือกผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการรวม 222 กิจการ จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศ  โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่  กลุ่มที่เพิ่งเริ่มดำเนินธุรกิจ (Start up)  กลุ่มที่มีศักยภาพในการตลาด (Rising Star)  และกลุ่มที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว (Turn Around)

ทั้งนี้หลังจากที่ผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการแล้ว พบว่า ในภาพรวมของโครงการสามารถเพิ่มรายได้และผลิตภาพ ร้อยละ 21.06 ต่อปี สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจ พบว่า ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้รวม 22,047.17 ล้านบาท  และเมื่อผ่านกระบวนการพัฒนาภายใต้โครงการสุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด  ทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้และผลิตภาพเพิ่มขึ้น 4,642.43 ล้านบาท

ส่วนรายละเอียดผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มมีรายละเอียด ดังนี้ กลุ่ม Start Up มีรายได้และผลิตภาพเพิ่มขึ้นสูงสุด ร้อยละ 30.57 ต่อปี รองลงมาเป็น กลุ่ม Rising Star มีรายได้และผลิตภาพเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.04 ต่อปี และกลุ่ม Turn Around สามารถมีรายได้และผลิตภาพเพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.61 ต่อปี

จากผลสำเร็จของโครงการในปี 2559  สสว. จะดำเนินโครงการ SMEs Provincial Champions ต่อไปในปี 2560  จังหวัดๆ ละ 6 ผู้ประกอบการ ใน 77 จังหวัด หรือประมาณ 462 ราย โดยจะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีนวัตกรรมตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และสินค้าได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับที่สูงขึ้น  รวมถึงพัฒนาการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ  และสร้างโอกาสด้านการตลาดเพื่อส่งเสริม SME ไทยให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาล โดยสสว.เตรียมขอการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลเพิ่มเติมให้เพียงพอ

สำหรับ “โครงการ “สุดยอดเอสเอ็มอีจังหวัด” (SMEs Provincial Champions)   เป็นความริเริ่มของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา  ซึ่งเป็นประธานกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เฉพาะกิจ) ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน 2558  มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นให้ SME ในภูมิภาคทั่วประเทศตื่นตัวที่จะยกระดับ การบริหารจัดการให้เป็นสากล  และการนำนวัตกรรมมาปรับปรุงสินค้าและบริการให้เป็นที่พึงพอใจของตลาดมากขึ้น  เป็นโครงการที่ดำเนินการร่วมกันระหว่าง สสว. กับภาคีภาครัฐและเอกชน

ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ จะเข้ารับการฝึกอบรมพัฒนาองค์ความรู้ ด้านการวางกลยุทธ์องค์กร แผนฟื้นฟูกิจการ การให้คำปรึกษาแนะนำ ณ สถานประกอบการ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านแบบเชิงลึก และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความสอดคล้องกับตลาด โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ตลอดจนจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์ ในการตรวจประเมินและวินิจฉัยสถานประกอบการเชิงลึก พบว่ากลุ่ม Start Up ให้ความสำคัญกับการเพิ่มยอดขายมากกว่าการเพิ่มผลิตภาพ เนื่องจากการผลิตยังไม่เต็มกำลังการผลิต

ดังนั้นแนวทางในการพัฒนาส่วนใหญ่จึงเป็นการพัฒนา Product ให้ได้มาตรฐาน การพัฒนา Packaging รวมทั้งกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะช่วยเพิ่มยอดขายเป็นหลัก ส่วนในกลุ่ม Rising Star เป็นกลุ่มที่มีความชำนาญในการขายอยู่แล้ว มีความต้องการในการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต หรือลดต้นทุนผลิต กลุ่ม Turn Around เป็นกลุ่มที่ประสบปัญหาด้านยอดขาย และด้านการเงิน ดังนั้น  การพัฒนาจึงต้องดำเนินการพร้อมกันในหลายด้านทั้งการเพิ่มยอดขาย การเพิ่มผลิตภาพการผลิต และการหาแหล่งเงินทุนเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งทางที่ปรึกษาได้ประสานงานกับธนาคารในพื้นที่เป็นส่วนใหญ่-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน

กัมพูชา 15 มิ.ย.- ไทย-กัมพูชา ลงนามบันทึกการประชุม JBC ร่วมกัน ซึ่งการหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ประชุมครั้งต่อไปเดือน ก.ย.นี้ ฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 เอกอัครราชทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ฝ่ายไทย และนายฬำ เจีย รัฐมนตรีรับผิดชอบกิจการชายแดนและหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการกิจการชายแดนแห่งชาติกัมพูชา ประธานร่วมฝ่ายกัมพูชา เป็นประธานร่วมในพิธีปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 (JBC) และลงนามบันทึกการประชุมร่วมกัน ที่กรุงพนมเปญ การหารือเป็นไปอย่างราบรื่นและฉันมิตร ทั้งสองฝ่ายกล่าวขอบคุณที่การประชุมสำเร็จลุล่วงด้วยดี โดยเน้นย้ำความสำคัญและประสิทธิภาพของ JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีหลักในการเจรจาเขตแดนระหว่างสองประเทศ การประชุมครั้งนี้เป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงความคืบหน้าในการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความยาวทั้งหมดประมาณ 800 กิโลเมตร และมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายยังมีภารกิจที่ต้องหารือและดำเนินการร่วมกันต่อไป โดยฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JBC สมัยพิเศษครั้งต่อไปในเดือนกันยายนนี้ ปัจจุบัน ไทยกับกัมพูชามีกลไกความร่วมมือในประเด็นชายแดนร่วมกัน 3 ระดับหลัก ได้แก่ (1) JBC ซึ่งเป็นกลไกทวิภาคีที่สำคัญในการหารือกันทางเทคนิคและข้อกฎหมายระหว่างประเทศ (2) คณะกรรมการชายแดนทั่วไป […]

กัมพูชายืนยันไม่รับแผนที่ 1 : 50,000

15 มิ.ย. – กัมพูชาแถลงปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 50,000 อย่างเด็ดขาด อ้างไทยเขียนขึ้นฝ่ายเดียว ยึดมั่นแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU43 เท่านั้น พร้อมยินดีร่วมมือกับไทยด้วยกลไกทวิภาคี ยกเว้น 4 จุดที่นำขึ้นศาลโลก เว็บไซต์ข่าว Khmer Times รายงานภายหลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วม หรือ JBC ที่กรุงพนมเปญ ว่า ฝ่ายกัมพูชาแสดงจุดยืนปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะรับรองแผนที่ที่ฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำใช้อ้างอิงอันเป็นที่มาหลักของปัญหาข้อพิพาทชายแดนที่เรื้อรังมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและอนาคต ทั้งนี้ แผนที่ที่กัมพูชาอ้างว่าฝ่ายไทยร่างขึ้นโดยฝ่ายเดียวและนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาทเขตแดนไม่สิ้นสุดนั้นคือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 ซึ่งมีความละเอียดแม่นยำมากกว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่กัมพูชายึดถือ Khmer Times อ้างตามเอกสารข่าวเผยแพร่จากสำนักเลขาธิการกิจการชายแดนเกี่ยวกับการประชุม JBC ที่จัดขึ้นระหว่างฝ่ายกัมพูชาและฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชานำโดยนายฬำ เจีย รัฐมนตรีประจำสำนักกิจการชายแดนและประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา และนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศของไทย และประธาน JBC ฝ่ายไทย […]

“ลูกหมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้หนี้พร้อมดอกเบี้ย

สำนักงานกฎหมายทนายคลายทุกข์ 13 มิ.ย. – “ลูกหมี รัศมี” ชนะคดีฟ้องอดีตดารา ศาลสั่งลูกหนี้ชดใช้ 2 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ด้าน “ทนายเดชา” เผยหาก 30 วัน ไม่ใช้หนี้ เตรียมยื่นเรื่องยึดทรัพย์-ฟ้องล้มละลาย นางสาวรัศมี ทองสิริไพรศรี หรือลูกหมี นางแบบชื่อดัง พร้อมนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา และนางสาวอำนวยพร มณีวรรณ์ หรือทนายกุ้ง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีลูกหนี้ ซึ่งเป็นอดีตดารานักแสดงชื่อดัง ได้ทำการกู้ยืมเงิน พร้อมจ่ายเช็คเด้ง จำนวน 2 ล้านบาท โดยไม่ยอมชำระคืนตามที่ได้ตกลงทำสัญญากันไว้ ทนายเดชา กล่าวว่า คดีนี้คุณลูกหมีฟ้องลูกหนี้ในความผิดเกี่ยวกับเรื่องสัญญากู้ยืมเงิน โดยเงินต้นจำนวน 2 ล้านบาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ศาลพิพากษาว่า สัญญากู้เงินต้น 2 ล้านบาท เป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด […]

อิสราเอลและอิหร่านโจมตีตอบโต้กันในระลอกใหม่

เทลอาวีฟ 15 มิ.ย. – อิสราเอลและอิหร่านได้เปิดฉากโจมตีตอบโต้กันอีกครั้งในช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน ซึ่งจุดชนวนความกังวลว่าจะเกิดความขัดแย้งในวงกว้างขึ้น หลังจากที่อิสราเอลได้ขยายการโจมตีอิหร่าน ด้วยการโจมตีแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก อิหร่านได้ยกเลิกการเจรจานิวเคลียร์ที่สหรัฐเคยกล่าวก่อนหน้านี้ว่าเป็นหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งการทิ้งระเบิดของอิสราเอลได้ ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลกล่าวว่าการโจมตีที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้ยังถือว่าไม่มีอะไรที่จะเทียบเคียงกับสิ่งที่อิหร่านจะได้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า การโจมตีของอิหร่านล่าสุดเริ่มต้นขึ้นไม่นานหลังเวลา 23:00 น. ของวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น หรือ ตรงกัล 03.00 น.ตามเวลาในประเทศไทย เมื่อเสียงสัญญาณเตือนภัยทางอากาศดังขึ้นในนครเยรูซาเลมและเมืองไฮฟา ทำให้ผู้คนราวหนึ่งล้านคนต้องรีบเข้าไปในสถานที่หลบภัย หน่วยบริการพยาบาลกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คนตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ซึ่งมีเด็กวัย 10 ขวบและหญิงสาววัยราว ๆ  20 ปีรวมอยู่ด้วย และมีผู้บาดเจ็บกว่า 140 คนจากการโจมตีที่เกิดขึ้นหลายครั้ง สื่ออิสราเอลรายงานว่ามีผู้สูญหายอย่างน้อย 35 คน หลังจากที่ขีปนาวุธพุ่งเป้าไปที่เมืองบัตยัม ซึ่งเป็นเมืองทางใต้ของกรุงเทลอาวีฟ โฆษกหน่วยบริการฉุกเฉินกล่าวว่าขีปนาวุธลูกหนึ่งพุ่งชนอาคาร 8 ชั้นในเมืองนั้น และในขณะที่ผู้คนจำนวนมากได้รับการช่วยเหลือ แต่ก็มีผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน ขณะนี้่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่ามีอาคารกี่หลังที่ถูกโจมตีเมื่อคืนนี้ จนถึงขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตในอิสราเอลล่าสุดอยู่ที่อย่างน้อย 9 ราย และบาดเจ็บกว่า 300 ราย นับตั้งแต่อิหร่านเปิดฉากโจมตีตอบโต้อิสราเอลเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

พยาบาลเกษียณร้องไซเบอร์ ถูกโรแมนซ์สแกม สูญ 12 ล้าน

16 มิ.ย. – พยาบาลเกษียณ วัย 65 ปี ร้องตำรวจไซเบอร์ ถูกหลอกสร้างความสัมพันธ์เชิงชู้สาว หรือโรแมนซ์สแกม ชวนลงทุนคริปโต สูญเงิน 12 ล้าน นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พาพยาบาลเกษียณอายุราชการวัย 65 ปี ผู้เสียหาย ถูกมิจฉาชีพหลอกหลอกให้รัก (Romance Scam) และชักชวนให้ลงทุนในระบบคริปโตผ่านแพลตฟอร์มเทรดปลอม สูญเงินเกือบ 12 ล้านบาท เข้าร้องทุกข์กับตำรวจไซเบอร์ โดยมี พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 รับเรื่อง นางสาวอ้อ อายุ 65 ปี อดีตพยาบาลผู้เสียหาย เล่าว่า เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2567 มิจฉาชีพหรือ นางสาวพร (นามสมมติ) ทักข้อความมาหาตนผ่านแอพ TikTok และชวนพูดคุยในลักษณะเชิงชู้สาว และต้องการหาคู่ชีวิต และชวนคุยเรื่องส่วนตัวจนเตนเชื่อใจ จนผ่านไป 2 […]

“ประศาสน์” ยันไม่เคยรับรองแผนที่ 1 : 200000

ก.ต่างประเทศ 16 มิ.ย.-“ประศาสน์” ยันไม่เคยรับรองแผนที่ 1 : 200000 แฉ “กัมพูชา” ถูกสั่งห้ามคุยปม 4 พื้นที่พิพาทในวง JBC แต่เสียดาย ไม่มีในบันทึกการประชุม เพราะหารือในวงเล็ก ยัน JBC รอบนี้ราบรื่นที่สุด บอกแต่ก่อนทะเลาะกันเยอะกว่านี้ นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC แถลงชี้แจงผลการประชุม JBC ว่า ตนเข้าร่วมครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 แล้ว จากระดับเจ้าหน้าที่ และครั้งนี้ไปประชุมในฐานะประธาน ถือว่าราบรื่นที่สุดเท่าที่เคยประชุมมา แต่ก่อนทะเลาะกันแรงกว่านี้เยอะ และครั้งนี้ ประสบความสำเร็จทางด้านเทคนิค พร้อมอธิบายภารกิจของ คณะกรรมการ JBC ว่า ประกอบไปด้วย 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นการตรวจหาหลักเขตที่ปักปันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ปี 2462-2463 ซึ่งมีการปักหลักเขตไปแล้ว 73 หลัก ตอนนี้เห็นชอบไปแล้ว 45 หลัก อีก […]

นายกฯ เผย กต.เรียกประชุมทูตต่างประเทศ ลั่นไทยเคารพกรอบทวิภาคี

กรุงเทพฯ 16 มิ.ย. – นายกฯ เผย กต. เรียกประชุมทูตต่างประเทศ ทำความเข้าใจกรณีไทย-กัมพูชา ย้ำไทยให้เกียรติการพูดคุยทวิภาคี ลั่นการเคลื่อนไหวนอกเหนือจากการเจรจาถือเป็นท่าทีที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ประกาศกร้าว จะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย ข่มขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ ก.ต่างประเทศ เรียกประชุมทูตต่างประเทศประจำประเทศไทยให้ได้รับทราบ ถ้าไม่เคารพกติกา ทั่วโลกก็จะไม่ยอมรับ ยอมรับไทยมีการสื่อสารที่เป็นสาธารณะน้อยมาก เพราะให้เกียรติการพูดคุยทวิภาคี ทั้งไทยและกัมพูชาจะต้องยึดตามกรอบการเจรจาทวิภาคี การเคลื่อนไหวที่นอกเหนือจากการเจรจาถือว่าเป็นท่าทีที่จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ นอกจากนี้ระหว่างความสัมพันธ์ของรัฐบาลกับกองทัพ มีการพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ว่าท่าทีของไทยจะเป็นอย่างไร อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เพื่อรักษาอธิปไตยของไทย และยืนยันว่าไม่มีปัญหากันแน่นอน.-สำนักข่าวไทย

Hun Sen delivers speech in Cambodia's Senate

“ฮุน เซน” ขู่ให้ไทยเปิดด่านทั้งหมดภายในวันนี้

พนมเปญ 16 มิ.ย.- นายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชาประกาศว่า ไทยต้องเปิดจุดผ่านแดนกับกัมพูชาทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นกัมพูชาจะปิดจุดผ่านแดนกับไทยทั้งหมด และห้ามสินค้าไทยทุกอย่างเข้ากัมพูชา เว็บไซต์หนังสือพิมพ์แขมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานวันนี้ว่า นายฮุน เซนยื่นคำขาดระหว่างกล่าวสุนทรพจน์พิเศษก่อนการประชุมวุฒิสภาในเช้าวันนี้ว่า เดิมกัมพูชาจะปิดจุดผ่านแดนกับไทยทั้งหมดในวันนี้ แต่รัฐบาลได้เลื่อนการตัดสินใจออกไป หลังจากที่เขาและนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนตได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ชินวัตรของไทย หากไทยไม่เปิดจุดผ่านแดนกับกัมพูชาทั้งหมดอีกครั้งตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป กัมพูชาจะห้ามผักและผลไม้ผ่านจุดผ่านแดนทั้งหมดของกัมพูชา นอกจากนี้กัมพูชาจะยกเลิกมาตรการจำกัดการผ่านแดนกับไทยที่ใช้อยู่ในขณะนี้ หากทางการไทยกลับมาเปิดจุดผ่านแดนตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น.ตามเดิม นายฮุน เซนประกาศชัดเจนว่า ทางการกัมพูชาจะไม่มีวันนั่งโต๊ะเจรจากับทางการไทยเรื่องการจำกัดการผ่านแดน เนื่องจากไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน โดยได้ตั้งคำถามว่า กองทัพไทยเป็นฝ่ายจำกัดการผ่านแดน และเมื่อกัมพูชาทำเช่นเดียวกัน ก็ต้องการเจรจาเพื่อรักษาหน้าเช่นนั้นหรือ พร้อมกับสำทับว่า กัมพูชาจะไม่ปล่อยให้ชื่อเสียงประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงเพราะความผิดพลาดของคนอื่น.-814.-สำนักข่าวไทย