ปตท.สผ.ศึกษาธุรกิจใหม่หนุนสำรวจและผลิต

กรุงเทพฯ 7 มี.ค. – ปตท.สผ.เตรียมพร้อมรับความเปลี่ยนแปลง ศึกษาธุรกิจใหม่ๆ แต่ยังยึดธุรกิจหลักไม่เปลี่ยนแปลง


นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ปตท.สผ.อยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักคือสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ โดยศึกษาทั้งธุรกิจต่อเนื่องด้านการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบธุรกิจปิโตรเลียม ,การผลิตไฟฟ้าในเมียนมา รวมถึงห่วงโซ่ธุรกิจด้านพลังงานทดแทน ทั้งแบตเตอรี่ และโซล่าร์ นอกเหนือจากปัจจุบันที่มีการต่อยอดไปในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) แล้ว โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนอย่างน้อย 1 ธุรกิจในปีนี้ แต่ยังยืนยันว่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมจะยังเป็นธุรกิจหลักของปตท.สผ. 

นายสมพรกล่าวว่า หลังจากที่ปตท.สผ.ทำธุรกิจขุดเจาะสำรวจและผลิตมานานกว่า 30 ปี จึงเห็นว่า จำเป็นต้องเริ่มมองหาธุรกิจแนวใหม่ คาดหวังว่า ภายในปีนี้ จะมีความคืบหน้าอย่างน้อย 1 แนวคิด เพื่อให้เกิดการเตรียมความพร้อมขององค์กรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ย้ำว่า ธุรกิจหลังสำรวจและผลิต และการ Bid สัมปทานก็ยังต้องเป็นหลักต่อไป  


นายสมพร กล่าวอีกว่า การศึกษาธุรกิจใหม่ดังกล่าวอยู่ในแผนกลุยทธ์ 3R ที่ได้กำหนดไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ได้แก่ RESET ,REFOCUS และ RENEW โดยในส่วนของ RENEW ปัจจุบันมีความชัดเจนมากขึ้นในส่วนของงาน 2 ส่วน ได้แก่ Old Thing New Way ซึ่งเป็นการทำการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในรูปแบบใหม่ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับดิจิทัลมากขึ้นทั้งในการสำรวจและการบำรุงรักษา ตลอดจนการซ่อมบำรุง ซึ่งจะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนรวม  

ส่วนอีกแนวทางหนึ่ง คือ New Thing New Way ซึ่งจะเป็นการพิจารณาลงทุนธุรกิจรูปแบบใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจด้านการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการประกอบธุรกิจปิโตรเลียม เนื่องจากบริษัทจะต้องรื้อถอนสิ่งติดตั้งบางส่วนในพื้นที่ปิโตรเลียมของบริษัทที่จะหมดอายุสัมปทานในปี 65-66 อยู่แล้วทำให้เริ่มมองการลงทุนในธุรกิจนี้ ซึ่งอาจจะเข้าร่วมทุนกับผู้ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ต่อไป  

ธุรกิจไฟฟ้า ซึ่งบริษัทไม่ได้มองการลงทุนในไทย เพราะยังมีการแข่งขันที่รุนแรง แต่มองเห็นโอกาสการต่อยอดธุรกิจจากแหล่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเพื่อมุ่งสู่ธุรกิจไฟฟ้าในเมียนมาที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น เบื้องต้นมองโอกาสในพื้นที่ปิโตรเลียม M3 ซึ่งเป็นแหล่งในทะเลที่ยังสำรวจพบปิโตรเลียมในปริมาณไม่มากนัก จึงได้แจ้งความประสงค์กับรัฐบาลเมียนมา เพื่อจะสำรวจเพิ่มเติมนำก๊าซฯมาใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า โดยจะร่วมกับบมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบมจ.ปตท. (PTT) เตรียมเสนอแพ็กเกจโครงการต่อรัฐบาลเมียนมา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงครึ่งแรกปีนี้  


“กรณีเมียนมาเรารู้แน่ ๆ ว่าต้องการใช้ไฟฟ้ามาก เขาชักชวนผู้ลงทุนไปเสนอโครงการเพื่อจะผลิตไฟฟ้า ซึ่งความต้องการใช้อยู่ที่ย่างกุ้ง แต่แทนที่เราจะขายก๊าซฯเราก็อาจจะพิจารณาทำโรงไฟฟ้า เพราะจากการทำธุรกิจในเมียนมาอย่างยาวนาน ทำให้มองว่า แหล่ง  M3 อยู่ในวิสัยที่จะมาต่อยอดหรือเป็นส่วนหนึ่งมากกว่า คือที่บอกปริมาณสำรองน้อยไปหน่อย ถ้าไม่ทำอะไรก็เสียประโยชน์ เรามีท่อพาดผ่านแล้ว อย่างน้อยทำอะไรได้ไหมก็คิดอยู่ ต้องดูว่ามีแนวคิด อะไรในการที่จะทำแพ็กเกจเพื่อให้ข้อเสนอเราเป็นที่น่าสนใจ”นายสมพร กล่าว  

นายสมพร กล่าวว่า สำหรับธุรกิจใหม่บริษัทยังให้ความสนใจธุรกิจที่เป็นห่วงโซ่ (Value Chain) เกี่ยวข้องกับพลังงานทางเลือก เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งมีห่วงโซ่ค่อนข้างยาวเริ่มตั้งแต่แบตเตอรี่ ,แหล่งแร่ ,การซ่อมบำรุง ,การติดตั้งในรูปแบบโซลาร์ฟาร์ม ก็จะมองหาโอกาสเข้าไปลงทุนในห่วงโซ่ดังกล่าวซึ่งอาจจะเป็นธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ซึ่งจะต้องพิจารณาว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าเพิ่มได้มากน้อยแค่ไหน และจะมีความคุ้มค่าเพียงใด ขณะที่ในส่วนของห่วงโซ่ธุรกิจก๊าซฯ ก็ได้เริ่มแล้วในธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ได้ร่วมมือกับปตท. เข้าไปลงทุน 10% ในโรงงานผลิต LNG ในมาเลเซีย  

ด้านกลยุทธ์ RESET บริษัทได้ปรับวิธีการทำงานเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ลงมาอยู่ในระดับฐานใหม่ที่ราว 30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพื่อให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับไม่สูงมาก และกลยุทธ์ REFOCUS เน้นขยายการลงทุนและเติบโตในพื้นที่ที่มีความเชี่ยวชาญและพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง โดยล่าสุดได้เข้าไปร่วมลงทุนพัฒนาแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมในบราซิลและเม็กซิโก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง ขณะเดียวกันก็เริ่มเพิ่มงบประมาณการสำรวจปิโตรเลียมมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นพบแหล่งใหม่ ๆ จากที่ได้ชะลองบประมาณสำหรับการสำรวจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่สถานการณ์ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ โดยปีนี้ตั้งงบประมาณสำรวจไว้ราว 200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อรองรับการขุดเจาะหลุมในเมียนมา และในไทย  

นายสมพร กล่าวอีกว่า สำหรับความคืบหน้าการทบทวนโครงการลงทุนสำคัญในต่างประเทศ 5 แห่งเพื่อหาแนวทางบริหารจัดการที่ดีที่สุดกับบริษัท โดยในส่วนของโครงการ M3 ในเมียนมา มีแผนที่จะนำมาก๊าซฯมาพัฒนารองรับการผลิตไฟฟ้าป้อนให้กับเมียนมา ขณะที่โครงการโมซัมบิก โรวูมา ออฟชอร์ แอเรีย วัน และ โครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ อยู่ระหว่างการผลักดันให้เกิดการตัดสินใจในการลงทุนต่อไป 

อย่างไรก็ตาม มีส่วนโครงการที่ต้องทบทวน ได้แก่ โครงการมาเรียนา ออยล์ แซนด์ ในแคนาดา ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันในแคนาดา ที่ผ่านมาบริษัทได้ตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ในช่วงไตรมาส 3/60 และแม้สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะปรับขึ้นมา แต่ราคาน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นน้ำมันที่มีความหนืด ประกอบกับ ในพื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่มีผู้ประกอบการรายใดพัฒนาแหล่งออยล์ แซนด์ใหม่ ๆ ขึ้นมา ทำให้บริษัทพิจารณาความเป็นไปได้ของการลดสัดส่วน หรือขายสัดส่วนจากปัจจุบันที่ถืออยู่ 100% โดยจะเสนอขายให้กับผู้ที่ดำเนินการอื่น ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งจะมีความสามารถในการพัฒนาโครงการได้มากกว่าบริษัท ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มออกไปมองหาความสนใจในตลาดบ้างแล้ว  

ส่วนโครงการแคช เมเปิ้ล ในออสเตรเลีย ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาทางเลือกต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสในการพัฒนาโครงการ โดยมองหาพันธมิตรเข้ามาร่วมดำเนินการ จากปัจจุบันที่ถือหุ้นอยู่ 100% เนื่องจากเห็นว่าแหล่งดังกล่าวเป็นแหล่งก๊าซฯขนาดใหญ่ 3-4 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต (TCF) แต่อยู่ในพื้นที่ที่ไกลจากตลาดที่อยู่ทางตะวันออก ส่วนแหล่งผลิตจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทำให้การผลิตก๊าซฯจากแหล่งดังกล่าวอยู่ในรูปแบบของ LNG ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับโรงงานผลิต LNG ในบริเวณใกล้เคียงซึ่งก็ยังมีคิวที่รอการนำก๊าซฯเข้าโรงงานผลิต LNG จำนวนมาก ทำให้การพัฒนายังไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ววัน 

“ตอนนี้มี 2-3 option ที่จะเปิดโอกาสให้เราพัฒนาแหล่งแคช เมเปิ้ลได้ ก็ดูว่า option ไหนทำได้ดีและมีความเป็นไปได้สูงสุด ตอนนี้เรามองว่าจะหาพันธมิตรน่าจะเป็นประโยชน์ เพื่อมาร่วมพัฒนาแหล่งแคช เมเปิ้ลได้ดี เรากำลังทำการเปรียบเทียบอยู่”นายสมพร กล่าว  

นายสมพร กล่าวถึงแหล่งน้ำมันดิบมอนทาราในออสเตรเลียด้วยว่า ปัจจุบันกำลังการผลิตเริ่มลดลงเรื่อย ๆ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีการผลิตน้ำมันดิบจากแหล่งนี้ราว 1 หมื่นบาร์เรล/วัน หลังจากที่ได้ขุดหลุมผลิตใหม่เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทก็ยังเปิดโอกาสในการมองหารายใหม่เพื่อเข้ามาซื้อโครงการเพราะยังเชื่อว่าคนในพื้นที่น่าจะสามารถพัฒนาแหล่งน้ำมันนี้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่าได้  

ส่วนโครงการผลิตก๊าซธรรมชาติจากโครงการเซาท์เวสต์เวียดนาม หรือโครงการบล๊อก B ในเวียดนามที่บริษัทถือหุ้นในสัดส่วนราว 7-8% นั้น น่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision :FID) ได้ในปี 61 ส่วนในอนาคตจะมีการพัฒนาแหล่งก๊าซฯนี้เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าหรือไม่นั้น ทางบริษัทก็อยู่ระหว่างเก็บข้อมูล แต่การดำเนินการจะขอเริ่มที่เมียนมาก่อน – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

วธ. ยันกัมพูชาไม่ได้สอดไส้วรรณกรรมไทย ขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก

กทม. 15 ก.ค.-กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยืนยันกัมพูชาไม่ได้นำวรรณกรรมไทย 22 รายการ สอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ออกหนังสือชี้แจง ตามที่มีการกล่าวอ้างในเพจดังกล่าวว่า “นี่คือวรรณกรรมไทย ที่กัมพูชานำไปสอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อ Unesco และได้รับการขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อย เพราะรัฐบาลไทยปล่อยปละละเลยและไม่คัดค้านเลยแม้แต่นิดเดียว…” กระทรวงวัฒนธรรม ขอขอบคุณท่านที่ห่วงใยต่อกรณีประเทศกัมพูชานำวรรณกรรมไทย จำนวน 22 รายการ นำไปขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในหัวข้อ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของกัมพูชา เพื่อใช้ในการแสดง Royal Ballet of Cambodia เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับยูเนสโก ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และขอชี้แจง ดังนี้ 1.ข้อมูลที่อ้างว่ามีการขึ้นทะเบียน “วรรณกรรมไทย 22 รายการ” โดยกัมพูชา ไม่เป็นความจริง เนื่องจากกัมพูชาไม่ได้เสนอขอขึ้นทะเบียนวรรณกรรม จำนวน 22 เรื่อง ต่อองค์การยูเนสโก แต่กัมพูชาได้เสนอขึ้นทะเบียน The Royal Ballet of Cambodia ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงโบราณของกัมพูชา และยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2546 […]

รวมพลัง 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

15 ก.ค. – กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย องค์การทางศาสนาทั้ง 15 องค์การ จาก 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ รวมทั้งหน่วยงานเครือข่าย มีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ผู้นำทางศาสนา ศาสนิกชน เครือข่ายสถานศึกษา ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม รวมกว่า 1,000 คน ร่วมพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อถวายพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคล แสดงความจงรักภักดีและสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า กิจกรรมประกอบด้วย พิธีถวายพระพรชัยมงคล […]

หน่วยงาน 3 ป. แถลงปฏิบัติการจับกุม “สีกากอล์ฟ” จ่อขยายผลเส้นเงิน

บก.ป. 15 ก.ค.- ตำรวจแถลงปฏิบัติการจับกุม “สีกากอล์ฟ” ตรวจสอบเงินในบัญชี 3 ปีย้อนหลัง พบมีเงินหมุนเวียน 385 ล้านบาท ส่วนใหญ่โอนไปเว็บพนัน เหลือเงินในบัญชี 8,000 บาท ขณะที่พระผิดธรรมวินัยทยอยลาสิกขาแล้ว 9 รูป จากทั้งหมด 13 รูป พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วยนายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปง., นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช., พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร่วมกับ […]

“ปราสาทตาเมือนธม” วุ่น ทหารกัมพูชาเกือบ 1 กองร้อย กรูเข้าฝั่งไทย

กทม. 15 ก.ค.-ทบ.อยู่ระหว่างตรวจสอบปมความวุ่นวาย “ปราสาทตาเมือนธม” หลังมีข่าวทหารกัมพูชาเกือบ 1 กองร้อย กรูเข้าฝั่งไทย ด้าน มทภ.2 ยันสถานการณ์ปกติ อย่าตื่นตระหนก 15 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล หลังเกิดเหตุความไม่เรียบร้อยที่ปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จากกรณีหญิงชาวกัมพูชา ตะโกนใส่ทหารไทยว่าล้ำเส้นเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา และมีการทะเลาะกันเสียงดัง ทำให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาที่อยู่ในจุดนั้นต้องเข้ามาห้าม แต่เหตุการณ์ลุกลาม ทหารกัมพูชาเกือบ 1 กองร้อย วิ่งเข้ามาในบริเวณฝั่งไทย ตรงบันไดทางขึ้นปราสาทตาเมือนธม ทางด้านทหารไทยก็ได้เข้าไปอยู่ในจุดดังกล่าวด้วย โดยสถานการณ์มีการผลักอกกัน ตะโกนโวยวาย ล่าสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แจงว่า ปราสาทตาเมือนธม เหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไร ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตกใจ.-313.-สำนักข่าวไทย