ศาลฎีกานักการเมืองฯ 6 มี.ค.-ศาลฎีกานักการเมืองฯออกหมายจับทักษิณ เหตุไม่มาฟังพิจารณาคดีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม ถือว่าจำเลยปฏิเสธฟ้องโจทก์ นัดตรวจพยานหลักฐาน 10 ก.ค.นี้
นายไพโรจน์ วายุภาพ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาและอดีตประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีแปลงสัมปทานกิจการโทรคมนาคม คดีหมายเลขดำ อม.9/2551 พร้อมด้วยองค์คณะผู้พิพากษา 9 คนออกบัลลังก์นั่งพิจารณาคดีครั้งแรก ภายหลังนายเข็มชัย ชุติวงศ์ อัยการสูงสุดเป็นโจทก์มอบอำนาจให้อัยการสำนักงานคดีพิเศษยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 ขอให้ศาลพิจารณานำคดีที่ได้ยื่นฟ้องนายทักษิณ ชินวัตร อายุ 69 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2551 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทานหรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว
เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152,157 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 กรณีแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพาสามิต ด้วยการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต ( พ.ศ.2527) พ.ศ.2546 เอื้อประโยชน์ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้รัฐเสียหายเป็นจำนวนเงิน 6.6 หมื่นล้านบาทเมื่อปี 2551
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวเคยถูกจำหน่ายออกจากสารบบความชั่วคราว เนื่องจากจำเลยหลบหนีคดี โดยจำเลยถูกออกหมายจับตามขั้นตอนไปแล้ว และนำขึ้นมาพิจารณาตามกระะบวนพิจารณา มาตรา 28 พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (วิ อม.) ฉบับใหม่ พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งบัญญัติว่าเมื่อสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทราบโดยชอบแล้วจำเลยไม่มาศาลและได้ออกหมายจับแล้ว ถ้าไม่สามารถจับจำเลยได้ภายใน 3 เดือนนับแต่ออกหมายจับ ให้ศาลมีอำนาจพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย แต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะตั้งทนายความมาดำเนินการแทนตนได้ และไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะมาต่อสู้คดีเมื่อใดก็ได้ ก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา
องค์คณะ 9 คนซึ่งประกอบด้วย นางอุบลรัตน์ ลุยวิกกัย รองประธานศาลฎีกาคนที่ 1 นายธนสิทธิ์ นิลกำแหง รองประธานศาลฎีกา คนที่ 2 นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ รองประธานศาลฎีกา คนที่ 3 นายโสภณ โรจน์อนนท์ รองประธานศาลฎีกาคนที่ 4 นายวิชัย เอื้ออังคณากุล รองประธานศาลฎีกาคนที่ 5 นายพิศล พิรุณ ประธานแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา นายไพโรจน์ วายุภาพ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาและอดีตประธานศาลฎีกา นายประทีป เฉลิมภัทรกุล ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา นายดิเรก อิงคนินันท์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา และอดีตประธานศาลฎีกา
เมื่อถึงเวลานัด อัยการโจทก์เดินทางมาศาล ขณะที่ฝ่ายจำเลยไม่มีผู้ใดมาศาล ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่านัดพิจารณาคดีครั้งแรกอัยการโจทก์มาศาล โดยโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องในวันนี้(6 มี.ค.) ส่วนจำเลยทราบนัดโดยชอบแต่ไม่เดินทางมาและไม่แจ้งเหตุขัดข้องหรือขอเลื่อนนัดพิจารณาคดี จึงให้ออกหมายจับจำเลย โดยให้อัยการโจทก์ติดตามดำเนินการจับกุมจำเลยและรายงานให้ศาลทราบทุก ๆ 1 เดือน ทั้งนี้ จำเลยไม่เดินทางมา ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธไม่ได้กระทำผิดตามคำฟ้องโจทก์ จึงนัดตรวจพยานหลักฐานวันที่ 10 กรกฎาคมนี้ เวลา 09.30 น. และให้แจ้งนัดให้จำเลยทราบตามที่อยู่ทะเบียนราษฎร์ที่แจ้งไว้ย่านจรัญสนิทวงศ์ หากไม่มีผู้รับให้ติดหมายนัดที่บ้านพักจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหมายจับให้มาฟังพิจารณาคดีที่ศาลออกวันนี้ เป็นหมายจับที่ออกใหม่ เนื่องจากเป็นการเริ่มเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีตามกฎหมายใหม่ โดยที่หมายจับใบเดิมในคดีนี้ ศาลยังไม่มีคำสั่งยกเลิก และยังไม่ถือว่าหมดอายุความ ซึ่งนอกจากคดีดังกล่าวแล้ว ยังมีคดีที่อัยการสูงสุดและป.ป.ช. ในฐานะโจทก์ยื่นฟ้องคดี และยื่นคำร้องขอพิจารณาคดีลับหลังจำเลยตามวิ.อม.ใหม่อีก 3 สำนวน ประกอบด้วยคดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย คดีทุจริตการปล่อยกู้เอ็กซิมแบงค์และคดีหวยบนดิน.-สำนักข่าวไทย
