กรุงเทพฯ 25 ก.พ. – ท่าเรือแหลมฉบังอ้างรถเมล์เอ็นจีวีเสียหายก่อนเข้าพื้นที่ ขณะที่กระทรวงคมนาคมสั่งเช็คกล้องวงจรปิดด่วน
ร.ต.ต.มนตรี ฤกษ์จำเนียร ผู้อำนวยการ ท่าเรือแหลมฉบัง กล่าวว่า เบื้องต้นได้สอบถามไปยังบริษัท แหลมฉบังอินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินัล จำกัด (LCIT) ผู้รับสัมปทานท่าเรือบี 5 และซี 3 ซึ่งเป็นจุดจอดรถเมล์เอ็นจีวีที่ถูกทุบทำลายแล้ว ยอมรับว่าเกิดเหตุการดังกล่าวขึ้นจริง โดยทางรองซีอีโอแจ้งว่ารถเมล์เอ็นจีวีดังกล่าวอยู่ระหว่างขนส่งออกจากท่าเรือ โดยล่าสุดเจ้าของรถเมล์ได้มีการว่าจ้างบริษัทหัวลากรถในท่าเรือ 2 บริษัทมาทำการลากและขนย้ายรถ แต่ 2 บริษัทหัวลากเกิดเหตุทะเลาะวิวาทกัน จึงมีการทุบทำลายรถเมล์
ในช่วงบ่ายวันนี้ (25 ก.พ.) ภายหลังจาก ร.ต.ต.มนตรี ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ท่าเรือแหลมฉบัง บริเวณท่าเทียบเรือซี 3 ซึ่งรับฝากรถเมล์ที่เกิดปัญหา กล่าวว่า จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุพบว่ารถดังกล่าวถูกขนส่งมาลักษณะการบรรจุลงในตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต บรรจุ 1 ตู้ต่อ 1 คัน โดยวางรถบนพื้นตู้คอนเทนเนอร์และไม่มีเหล็กปกป้องตัวรถ เมื่อรถดังกล่าวมาถึงท่าเรือแหลมฉบังเจ้าหน้าที่ประจำท่าเรือและคนเรือได้ร่วมกันตรวจสภาพรถบนเรือก่อนจะขนลงมาไว้บนพื้นท่าเรือ พบว่ามีรถบนเรือ 3 คัน ได้รับความเสียหาย คือ กระจกแตก ดังนั้น ทั้ง 2 ฝ่ายได้ลงบันทึกรายงานร่วมกันว่ามีรถ 3 คันกระจกแตกเสียหายบนเรือ โดยเจ้าของเรือได้ทำการลงนามรับทราบยืนยันความเสียหายดังกล่าว ซึ่งกรณีนี้ก็หมายถึงว่ารถดังกล่าวได้รับความเสียหายมาจากนอกประเทศ 3 คัน
ทั้งนี้ หลังจากขนรถลงจากเรือด้วยการใช้สลิงยกขน โดยกำลังมาไว้ที่ท่าเรือซี 3 กลับตรวจไม่พบความเสียหายระหว่างเคลื่อนย้ายคาดว่าจะมีฝุ่นเกาะ แต่มาตรวจพบตอนหลังเพิ่มอีก 4 คัน รวมเป็น 7 คันสำหรับขั้นตอนสุดท้าย คือ การลำเลียงรถออกจากท่าเรือซี 3 ไปยังที่อื่น โดยใช้รถหัวลากนั้นบริษัทที่รับลากรถรับทราบปัญความเสียหายของรถทั้ง 7 คัน ว่า กระจกแตก แต่ยังมีการขนส่งรถต่อไปอีก
“จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ารถเมล์ 3 คันแรก เกิดความเสียหายมาจากต่างประเทศ ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจนจากเอกสารการลงบันทึกความเสียหายของเจ้าหน้าที่ และมีความเสียหายเกิดขึ้นในท่าเรือเพิ่มอีก 4 คัน รวมเป็น 7 คัน โดยทั้ง 7 คัน พบว่าเสียหายเฉพาะกระจกแตกเท่านั้น ส่วนที่เจ้าของรถอ้างว่า มีไฟแตกและมีความเสียหายส่วนอื่นด้วยไม่ทราบว่าไปเกิดความเสียหายที่ไหน” ผอ.ท่าเรือแหลมฉบัง กล่าว
ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีรถเมล์เอ็นจีวี 7-8 คัน ของ บริษัท ช. ทวี จำกัด (มหาชน) นำเข้าและเตรียมส่งมอบให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน ล่าสุดข้อสงสัยเรื่องสถานที่ว่ารถดังกล่าวถูกทุบทำลายจนเกิดความเสียหายในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง หรือระหว่างการนำเข้าก่อนถึงท่าเรือ โดยเรื่องนี้ได้สั่งการให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดหรือซีซีทีวีโดยละเอียด เพื่อหาข้อเท็จจริงให้ได้ นอกจากนี้ ยังกำชับผู้บริหาร ขสมก.ดูรายละเอียดการตรวจรับรถเดือนมีนาคมให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสัญญา ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงคมนาคมยังไม่อยากสรุปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากปัญหาความขัดแย้งเรื่องการจัดซื้อรถ รถเมล์เอ็นจีวีหรือไม่ โดยจะต้องไปติดตามผลการสอบสวนโดยละเอียดอีกครั้ง
ส่วนประเด็นที่บริษัทฯ ออกมามาระบุว่าจำเป็นต้องขอนำเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและทหารเข้าไปดูแลรักษารถเมล์เอ็นจีวีที่จะนำเข้าเพิ่มนั้น หากเห็นว่ามีความจำเป็น ก็ให้ประสานผ่านมายัง กทท. เพื่อดำเนินการตามข้อเสนอต่อไป
นายกริน ชยวิสุทธิ์ ผู้จัดการโครงการ บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับรถที่ถูกทุบทำลายมาถึงท่าเรือแหลมฉบังวันที่ 23 กุมภาพันธ์ โดย กทท.ต้องเป็นผู้ตรวจรับก่อนขนย้ายรถขึ้นฝั่ง ซึ่ง กทท.ไม่ได้รายงานว่าพบความเสียหายหรือความผิดปกติใด ๆ แต่เมื่อ ช.ทวีเข้าไปตรวจรับรถวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้น จึงคาดว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นคืนวันที่ 23 กุมภาพันธ์ต่อเนื่องถึงเช้ามืดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ บริษัทฯ จึงอยู่ระหว่างรอเอกสารยืนยันจากบริษัทเดินเรือว่ารถเมล์มีความเสียหายก่อนส่งถึงท่าเรือแหลมฉบังหรือไม่ เพราะถ้าเกิดความเสียหายจากการขนส่งทางเรือ ทางเรือและประกันภัยต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยบริษัทฯ จะนำรายงานการขนส่งทางเรือและรายงานการตรวจรับรถ เพื่อนำไปแจ้งความวันพรุ่งนี้ (26 ก.พ.) แต่เบื้องต้นเชื่อว่าความเสียหายไม่ได้เกิดในขั้นตอนการขนส่งทางเรือ
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าความเสียหายเกิดจากบริษัทหัวลาก 2 แห่งมีข้อพิพาทและทำลายตัวรถนั้น นายกริน กล่าวว่า ช ทวี ตรวจสอบแล้วและเป็นเหตุที่เป็นไปไม่ได้ โดยบริษัทฯ รอให้ท่าเรือแหลมฉบังแถลงข่าวถึงสาเหตุที่ชัดเจนต่อไป.-สำนักข่าวไทย