กรุงเทพ ฯ 25 ก.พ.-นายกฯเชิญชวนผู้มีรายได้น้อยเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตภายใน 28 ก.พ.นี้ เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนและการมีงานทำมากขึ้น
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้รับรายงานว่ามีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่แสดงความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อย ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2561 จำนวน 5,601,345 คน คิดเป็นร้อยละ 48.8 ของผู้มีบัตรทั้งหมดทั่วประเทศ 11.4 ล้านคน หรือมีผู้ไปขึ้นทะเบียนเฉลี่ยวันละ 329,491 คน โดยจังหวัดที่มีประชาชนเข้าร่วมโครงการมากที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนผู้มีบัตรสวัสดิการฯ คือ จ. กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ เลย ร้อยเอ็ด นครพนม ตามลำดับ
“นายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ เพื่อรับเงินในบัตรสวัสดิการเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 100 – 200 บาท ภายในเดือนมีนาคม และได้รับโอกาสในการมีงานทำ มีความรู้และทักษะอาชีพ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบและสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ภายในเดือน เมษายนเป็นต้นไป โดยขอให้นำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปยื่นแสดงความจำนงได้ที่ ณ สาขาของธ.ออมสิน ธ.ก.ส. หรือสถานที่ที่ผู้อำนวยการเขต (กทม.) หรือนายอำเภอ (จังหวัดอื่น ๆ) กำหนด ซึ่งเป็นเขตหรืออำเภอของที่อยู่ปัจจุบันที่เคยแจ้งไว้เมื่อตอนลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำโครงการไทยนิยมยั่งยืน ที่ขณะนี้ทีมขับเคลื่อนการพัฒนาฯ ระดับตำบล ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ หน่วยงานความมั่นคง ปราชญ์ชาวบ้าน และจิตอาสา ได้เริ่มลงพื้นที่สำรวจข้อมูลตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ว่า จะต้องสะท้อนความต้องการของประชาชนและดำเนินการอย่างโปร่งใส ทั้งนี้ เมื่อรวบรวมข้อมูลจากประชาชนแล้วจะจัดเตรียมแผนงาน โครงการและงบประมาณต่อไป โดยจะครอบคลุมการพัฒนากลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือเศรษฐกิจฐานราก 3.5 หมื่นล้านบาท การพัฒนาเชิงพื้นที่ชุมชน การท่องเที่ยว กองทุนหมู่บ้าน 3.45 หมื่นล้านบาทและการปฏิรูปโครงสร้างการผลิตภาคการเกษตร 3 หมื่นล้านบาท รวมทั้งสิ้น 9.95 หมื่นล้านบาท
“นายกรัฐมนตรีอยากให้ประชาชนเชื่อมั่นว่า รัฐบาลมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและยกระดับเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้า การลงทุน ที่มีแนวโน้มดีขึ้น พร้อมทั้งตระหนักดีว่าจะต้องไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยโครงการที่เคยมีมาในอดีต และไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับทำงานอย่างมุ่งมั่น มีอุดมการณ์ และซื่อสัตย์ และขอความร่วมมือประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตา หากพบความไม่โปร่งใสขอให้แจ้งไปยังนายกรัฐมนตรี ได้ทุกกรณี” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว.-สำนักข่าวไทย
