ป.ป.ช. 6 ต.ค.-ป.ป.ช. ตั้งคณะทำงานสอบ “พล.อ.ปรีชา” กรณี บริษัทลูกชายรับเหมางานกองทัพภาค 3 และฝายแม่ผ่องพรรณแล้ว
นายยงยุทธ มะลิทอง รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่ ป.ป.ช.ตีตกข้อกล่าวหาร้องเรียน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมกรณีบรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย เป็นนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 โดยมิชอบ ว่า ป.ป.ช.ได้มีหนังสือแจ้งไปที่นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่นแล้วถึงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อกฎหมายตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มาตรา 13 (3) เรื่องเกี่ยวกับการตั้งคนในครอบครัวเข้ารับราชการ ซึ่งในรายละเอียด ป.ป.ช.เห็นว่ากระทรวงกลาโหมควรออกระเบียบให้มีความรัดกุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายวีระสามารถใช้ พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ขอข้อมูลจาก ป.ป.ช.ในกรณีดังกล่าวและกรณีอุทยานราชภักดิ์ได้หรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า หากขอมา ป.ป.ช.ต้องสรุปเรื่องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาก่อน ซึ่งมาตรา 14 พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารมีเรื่องที่ว่าด้วยการเปิดเผยข้อมูลที่ต้องดูว่าเมื่อเปิดเผยแล้วจะเกิดความเสียหายหรือไม่ และหากข้อมูลใดสามารถเปิดเผยได้ ป.ป.ช.ก็ยินดีที่จะเปิดเผย ป.ป.ช.ไม่เคยขัดข้อง
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรกรณีที่ ป.ป.ช.ถูกวิจารณ์ว่าทำคดีของพรรคเพื่อไทยแต่ฝ่ายเดียว นายยงยุทธ กล่าวว่า ป.ป.ช.ตรงไปตรงมา และเมื่อครั้งที่มีทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ป.ป.ช.ก็ไม่เคยแบ่งแยก เมื่อมีข้อกล่าวหาเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม หากมีการกระทำการทุจริตหรือผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ป.ป.ช.ก็ไม่เคยละเว้น ไม่เคยดูว่าอยู่ฝ่ายไหน ดูเพียงข้อกฎหมาย ดูว่าก่อให้เกิดความเสียหายหรือไม่
“ป.ป.ช.ดำเนินการกับทุกฝ่ายเหมือนกันหมด ไม่ได้เลือกปฏิบัติ และถ้าถามถึงความรู้สึก ผมจึงไม่มีความรู้สึก รับราชการมา 37 ปีแล้ว ถ้าทำผิด ป.ป.ช.เอาหมด” นายยงยุทธ กล่าว
นายยงยุทธ ยังกล่าวถึงกรณีความคืบหน้าการพิจารณาคำร้องให้ไต่สวน พล.อ.ปรีชา ที่เอื้อประโยชน์ภรรยาในการดำเนินการสร้างฝายแม่ผ่องพรรณ ที่ จ.เชียงใหม่ และบุตรชายซึ่งเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 ว่า ขณะนี้ ป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวแล้ว และดำเนินการตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวแล้ว โดย ป.ป.ช.ต้องมาพิจารณาว่ามีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐจริงหรือไม่ และพิจารณาว่าเป็นการทุกจริตต่อหน้าที่หรือไม่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ในตำแหน่งราชการ ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการแสวงหาข้อเท็จจริง ถ้าเห็นว่าไม่มีมูลความจริง ก็ต้องถือว่าจบ แต่ถ้าพบว่ามีมูลความจริง ก็ต้องตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป.-สำนักข่าวไทย