กรุงเทพฯ 24 ม.ค. – เอสซีจีเผยปี 60 กำไรลดลงร้อยละ 2 ประกาศจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 19 บาท รวม 22,800 ล้านบาท ยอมรับเงินแข็งค่าทุก 1 บาทกระทบกำไรลดลง 2,000 ล้านบาท
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จักการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานปี 2560 น่าพอใจ แม้จะมีปัจจัยเรื่องสภาพการแข่งขันที่รุนแรงทั้งในไทยและภูมิภาค ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น และเงินบาทแข็งค่าเข้ามากระทบ ซึ่งเงินบาทแข็งค่าขึ้นทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้กำไรลดลง 2,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงการเร่งตัวให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และการขยายสู่ธุรกิจบริการและโซลูชั่น บริษัทจึงมีกำไรลดลงร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับปี 2559 โดยงบการเงินรวมก่อนตรวจสอบ ประจำปี 2560 มีรายได้จากการขาย 450,921 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากปีก่อน จากราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมีกำไร 55,041 ล้านบาท แต่ลดลงร้อยละ 2 จากปีก่อน จากสภาพการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจซิเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง
ส่วนไตรมาส 4 ปี 2560 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 113,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะราคาเคมีภัณฑ์ปรับเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน มีกำไร 12,567 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน สำหรับผลการดำเนินงานนอกเหนือจากประเทศไทยปี 2560 มีรายได้จากการขายในภูมิภาคอาเซียนเท่ากับ 106,597 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24 จากยอดขายรวม โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีรายได้จากการขายในภูมิภาคอื่น ๆ 80,084 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 17 จากยอดขายรวม สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 มีมูลค่า 573,412 ล้านบาท โดยร้อยละ 24 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
วันนี้ (24 ม.ค.) คณะกรรมการมีมติจ่ายเงินปันผลปี 2560 หุ้นละ 19 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 22,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วหุ้นละ 8.50 บาท เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2560 และจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายหุ้นละ 10.50 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 12,600 ล้านบาท
สำหรับปี 2561 คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 โดยยังมีความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบปิโตรเคมีและแพคเกจจิ้งที่เพิ่มขึ้น และราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น ยอมรับว่าเงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบและยังมีการแข่งขันในภูมิภาคที่รุนแรง เอสซีจีจึงชูกลยุทธ์ความร่วมมือกับดิจิทัลสตาร์ทอัพ และเตรียมความพร้อมพัฒนาทักษะพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง พร้อมเดินหน้าธุรกิจบริการโลจิสติกส์ ขณะที่การลงทุนอาเซียนคืบหน้าตามแผน
ส่วนอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์และวัสดุก่อสร้างปี 2560 ผลจากโครงการลงทุนภาครัฐไม่คืบหน้าตามเป้าหมาย ส่งผลให้ตลาดในประเทศติดลบร้อยละ 5 อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยอดการใช้ปูนซิเมนต์ในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2-3 จากโครงการลงทุนภาครัฐโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ที่มีแนวโน้มจะมีกิจกรรมการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและมีความคืบหน้าสูง โครงการเหล่านี้จะเป็นหัวหอกของธุรกิจซิเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ส่วนของเอสซีจีจะเน้นต่อไป คือ จะเน้นบริการและโซลูชั่นตอบโจทย์ลูกค้าเพิ่มขึ้นส่วนการลงทุนโครงการปิโตรเคมีที่ประเทศเวียดนามอยู่ระหว่างคุยกับพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งจะชัดในอีก 2-3 เดือน
ส่วนการที่รัฐบาลจะให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ผลกระทบต่อเอสซีจี ไม่น่าจะมีมาก เพราะต้นทุนจะเป็นพลังงานมากกว่า ปัจจุบันค่าแรงส่วนใหญ่ไม่อิงตามค่าแรงขั้นต่ำ และบริษัทไม่มีแผนลดพนักงาน แต่นำไปปรับปรุงทักษะและความรู้ใหม่ ๆ เพราะพนักงานเป็นสินทรัพย์สำคัญที่สุด โครงการปรับปรุงทักษะขณะนี้เริ่มต้นไปแล้ว และจะทำเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถตอบรับธุรกิจใหม่ ๆ
นายชวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า ปี 2561 มีงบลงทุนรวม 60,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในประเทศเวียดนาม ซึ่งล่าช้ากว่าแผนเดิมที่วางโครงการลงทุนไว้ 4 ปีครึ่ง และคาดว่าโครงการเริ่มใช้วงเงินจาก 20,000 ล้านบาทขึ้นไป น่าจะเริ่มก่อสร้างครึ่งปีแรกนี้ ภาพรวมการใช้งบลงทุนปี 2560 ใช้รวม 46,000 ล้านบาท จากที่เคยประกาศว่าจะลงทุน 50,000-60,000 ล้านบาท.- สำนักข่าวไทย