สมอ.เตรียมคุมเข้มร้านค้าออนไลน์

กรุงเทพฯ 11 ม.ค. – สมอ.ระบุอีก 1 เดือนจะหารือร้านค้าออนไลน์รายใหญ่ทั้งไทยและต่างประเทศ เพื่อให้ช่วยดูแลสินค้าที่จำหน่ายจะต้องได้มาตรฐาน มอก. เริ่มจากสินค้ามาตรฐานบังคับ 106 รายการ


นายณัฐพล รังสิตพล เลขาธิการ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า จากกระแสความนิยมสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ เรื่องดังกล่าวทาง สมอ.มีความเป็นห่วงว่าสินค้าที่ประชาชนได้รับอาจเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน โดยในช่วง 1 เดือนจากนี้ไป สมอ.มีนโยบายที่จะหารือกับผู้ประกอบการค้าร้านออนไลน์ขนาดใหญ่ เพื่อขอความร่วมมือกำกับดูแลสินค้าที่ขายเป็นสินค้าที่ได้มาตรฐานโดยเฉพาะสินค้าที่ประเทศไทย โดย สมอ.กำหนดให้เป็นสินค้าที่ต้องมีมาตรฐานบังคับ 106 รายการ เพราะหากไม่มีมาตรฐานบังคับแล้ว เมื่อประชาชนใช้แล้วอาจกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ 

สำหรับสินค้ามาตรฐานบังคับ เช่น ของเล่น หัวนมยางสำหรับขวดนม ฟิล์มยืดหุ้มห่ออาหาร เครื่องใช้เหล็กกล้าไร้สนิม ภาชนะหุงต้มที่มีรอยประสาน เตารีดไฟฟ้า เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เกี่ยวข้องที่ใช้กับแหล่งจ่ายไฟฟ้าประธาน สำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย และงานทั่วไปที่มีลักษณะคล้ายกัน เฉพาะด้านความปลอดภัย เป็นต้น เพราะสินค้าเหล่านี้หากมีการผลิตที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานอาจเป็นอันตรายต่อเด็กหรือด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินได้ 


นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมและยกมาตรฐานการผลิตสินค้าและบริการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ สมอ.จะออกมาตรฐาน มอก.S ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เหมาะสมกับผู้ประกอบการกลุ่มดังกล่าวที่จะผลิตสินค้าหรือบริการเฉพาะพิเศษ 20 มาตรฐานแรก เพื่อให้ผู้ประกอบการมายื่นขอรับรองจาก สมอ. และคาดว่าจะออกใบรับรองฉบับแรกเดือนมีนาคม โดยตลอดปี 2561 ตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ มายื่นขอรับใบรับรองมาตรฐาน มอก.S รวม 40-50 รายการ สำหรับมาตรฐาน มอก.S 20 มาตรฐานแรกที่จะออก ประกอบด้วย  มาตรฐาน มอก.S สำหรับแชมพู สบู่ก้อน สบู่เหลว ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า แป้งน้ำ แป้งฝุ่น ลิปสติก ผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดเหลว ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะและผ้าใช้บนโต๊ะอาหาร ผ้าคลุมเตียงสำหรับโรงแรม ผ้าห่ม ผ้าขนหนู เสื้อกีฬา เสื้อฮาวายลายดอก เสื้อเชิ้ตที่ระลึก เครื่องเงิน ดอกไม้ประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติและวัสดุแปรรูป   

นายณัฐพล กล่าวว่า การออกมาตรฐาน มอก.S เป็นการดำเนินการตามโครงการระบบมาตรฐานเพื่อการส่งเสริมเอสเอ็มอีภายใต้โครงการ “SME STANDard UP” โดย มอก.S จะเป็นมาตรฐานการผลิตสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับตลาดเป้าหมาย เป็นการสร้างระบบการมาตรฐานเฉพาะที่ปรับข้อกำหนดของมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และหรือมาตรฐานระหว่างประเทศ ให้เหมาะสมกับธุรกิจเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ ตรงกับความต้องการของผู้ใช้และที่สำคัญตรงความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ

เลขาธิการ สมอ. ยังแถลงผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีงบ 2561 (ต.ค.-ธ.ค.60) ว่า สมอ.เดินหน้ายกระดับการให้บริการสู่ สมอ.4.0 โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในกระบวนการออกใบอนุญาต (E-license) ภายหลังจากที่ปรับลดขั้นตอนกระบวนการออกใบอนุญาตเหลือเพียง 15 วันทำการ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการในการยื่นคำขออนุญาตแสดงเครื่องหมายมาตรฐานได้รวดเร็วขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการออกใบอนุญาตให้ทำได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเริ่มให้บริการวันที่ 23 มกราคม 2561  


ด้านการรับรอง มผช.ยุค 4.0 สมอ.ปรับลดระยะเวลารับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนจากเดิม 73 วัน ทำการ เหลือเพียง 49 วันทำการ โดยผู้ผลิตชุมชนจะได้รับคำแนะนำด้านการจัดการคุณภาพเบื้องต้น บริการการตรวจประเมินศักยภาพผู้ประกอบการ และความพร้อมของตัวอย่างผลิตภัณฑ์ชุมชน ก่อนยื่นคำขอรับการรับรอง มผช. สมอ.จะเริ่มให้การรับรอง มผช.ตามกระบวนการใหม่ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2561 แก่ผู้ประกอบการในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครก่อน และจะขยายการบริการให้การรับรอง มผช. ตามกระบวนการใหม่ โดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด (สอจ.) ที่เป็นหน่วยรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนระดับจังหวัดครบทั้ง 76 จังหวัด ภายในเดือนกันยายน 2561 ซึ่งการรับรอง มผช. 4.0 จะสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วทันต่อความต้องการของผู้ผลิตชุมชน 

ภารกิจด้านการตรวจติดตาม สมอ.ได้ดำเนินการตรวจสอบคุมเข้มร้านค้าอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังการผลิตและจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2560 ได้ดำเนินการยึดอายัดผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานมูลค่ารวม 660.8603 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.ผลิตภัณฑ์เหล็ก มูลค่า 643.0046 ล้านบาท 2.ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้า มูลค่า 15.2394 ล้านบาท 3.ผลิตภัณฑ์โภคภัณฑ์ มูลค่า 2.5876 ล้านบาท 4. ผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 0.0029 ล้านบาท หากพบว่ายังมีผู้ประกอบการและร้านค้ากระทำผิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทันทีและมีบทลงโทษตามฐานความผิด 

ด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพารา สมอ.ผลักดันมาตรฐานเกี่ยวกับยางพาราเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศ (ISO) 2 มาตรฐาน ได้แก่ มอก. 2476-2552 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ถุงมือยางที่ใช้ในงานบ้าน และ มอก. 2556-2554 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเส้นด้ายยาง เป็นมาตรฐานระหว่างประเทศ ISO 20057 : 2017 Rubber Household Gloves และ ISO 20058 : 2018 General Purpose Rubber Thread ตามลำดับ เพื่อให้ผู้ประกอบการที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ได้ตาม มอก. 2476-2552 และ มอก. 2556-2554 เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ซึ่งเป็นการช่วยขยายโอกาสทางการค้าระหว่างประเทศ 

นอกจากนี้ สมอ.ได้ดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การมาตรฐานการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน โดยมีมาตรฐานที่กำหนดไปแล้ว คือ มอก.14061 เล่ม 1-2559 การจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เล่ม 1 ข้อกำหนด ประกาศวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ขณะนี้กำลังผลักดันมาตรฐานห่วงโซ่การควบคุมผลิตภัณฑ์จากป่าไม้ (Chain of Custody, CoC) มอก.2861-2560 อยู่ระหว่างการนำเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมลงนาม ซึ่งการผลักดันให้มีการรับรองในสาขาการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนนั้น จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ได้แก่ 1. ผู้ประกอบการสามารถส่งผลิตภัณฑ์จากไม้ไปขายยังประเทศต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีนโยบายในการสนับสนุนให้มีการบริโภคสินค้าที่มีการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน (Sustainable resource) 2. สนับสนุนให้มีการปลูกและใช้ไม้เพิ่มขึ้นในประเทศ และเพื่อการส่งออก ทำให้เกษตรกรมีทางเลือกนอกจากการปลูกพืชเกษตรเชิงเดี่ยว ซึ่งมักมีปัญหาราคาตกต่ำ และบุกรุกพื้นที่ป่า 3. ลดการใช้ไม้จากแหล่งที่ผิดกฎหมาย ลดการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ และเพิ่มพื้นที่ในการปลูกต้นไม้ตามนโยบายของรัฐบาล นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซต์ที่สามารถนำไปคำนวณเพื่อรายงานการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกของประเทศ 4. ส่งเสริมอาชีพการปลูกไม้ และสร้างวิชาชีพในสาขาการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน 

 เลขาธิการ สมอ. กล่าวว่า สมอ. มีแผนการกำหนดมาตรฐานตามกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ในปี 2561 อีก 157 มาตรฐาน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอประกาศ 40 มาตรฐาน และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 117 มาตรฐาน คาดว่าจะเสร็จปี 2561 รวมทั้งดำเนินการผลักดันมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงภาคอุตสาหกรรม มาตรฐานเลขที่ มอก. ๙๙๙๙ เล่ม ๑-๒๕๕๖ เป็นมาตรฐาน ISO ซึ่งผู้แทน สมอ. ได้นำเสนอ มอก. ๙๙๙๙ ในการประชุมสภามาตรฐานแห่งภาคพื้นแปซิฟิก (PASC) ที่ประเทศสิงคโปร์ และประเทศสมาชิก PASC ให้การสนับสนุนการผลักดันมาตรฐานดังกล่าวเป็นมาตรฐานสากลต่อไป. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]