กรุงเทพฯ 8 ม.ค. – รมว.พลังงานส่งข้อมูลพลังงานใน ครม. 7 พ.ย.60 ไปให้ ปตท.-กฟผ.ศึกษาข้อมูล เพื่อส่งเสริมการแข่งขันด้านพลังงาน เน้นย้ำผลลัพธ์ค่าไฟฟ้าต้องไม่แพงขึ้น เบรคฝัน กฟผ.สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2 พันเมกะวัตต์ สอดคล้องความเห็นคณะกรรมการปฏิรูปพลังงาน และอาจต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 56 จำเป็นต้องคงสัดส่วนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐมากกว่าร้อยละ 51 หรือไม่
นายศิริ จิรพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้ส่งข้อมูลเอกสารด้านพลังงานที่นายกรัฐมนตรีนำมาแจกใน ครม.วันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 ให้ทาง บมจ.ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แสดงความคิดเห็น บทบาท ผลกระทบ ข้อพิจารณา และการดำเนินการในอนาคตจะทำอย่างไร โดยให้ส่งข้อมูลก่อนที่จะสรุปการจัดทำแผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาว (พีดีพี ) ฉบับใหม่วันที่ 31 มีนาคม 2561 โดยโจทย์สำคัญ คือ ค่าไฟฟ้าตามแผนใหม่จะต้องถูกลงกว่าแผนเดิมที่ค่าไฟฟ้าปลายแผนหรือปี 2579 จะอยู่ที่ 5.50 บาท/หน่วย ขณะที่ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยปัจจุบันอยู่ที่ 3.60 บาท/หน่วย ขณะเดียวกัน สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของ กฟผ.ก็ต้องศึกษาว่าเป็นเท่าใด เพราะตามรัฐธรรมนูญมาตรา 56 ไม่ได้กำหนดว่ารัฐ เช่น กฟผ.ต้องมีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าร้อยละ 51 แต่อย่างใด เพียงแต่กำหนดเรื่องการถือหุ้นของภาครัฐไม่ต่ำกว่าร้อยละ 51
“นอกจากกระทรวงพลังงานจะรับฟังความเห็นจาก กฟผ.และ ปตท.แล้ว ยังเปิดรับฟังความเห็นจากภาคประชาชน องค์กรต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับปรุงการทำงานในการเปิดเสรีพลังงาน โดยเป้าหมายสุดท้าย คือ ค่าไฟฟ้าตามแผนพีดีพีใหม่จะต้องลดลงกว่าแผนเดิม” นายศิริ กล่าว
นายศิริ กล่าวว่า สำหรับโครงข่ายพลังงานในอนาคตนั้น ยังจำเป็นต้องเป็นของรัฐ เพื่อความมั่นคง โดยท่อก๊าซธรรมชาติจะอยู่ภายใต้ ปตท.และระบบสายส่งไฟฟ้าจะอยู่ภายใต้ กฟผ. อย่างไรก็ตาม จะเปิดให้เอกชนหรือบุคคลที่ 3 เข้ามาใช้บริการภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่จะต้องส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน การผลิตไฟฟ้า การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำ ส่งเสริมความสามารถการแข่งขันของประเทศ ดังนั้น จะไม่เกิดการผูกขาดโดยภาครัฐหรือเอกชน แต่จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยพีดีพีใหม่ให้ศึกษาว่าจะไม่กำหนดสัดส่วนหรือโควตาว่าภาครัฐหรือเอกชนต้องผลิตเท่าใด รวมทั้งจะศึกษาว่าไม่กำหนดสัดส่วนของพลังงานทดแทนได้หรือไม่ จากแผนพีดีพี 2015 ปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 20 เพราะในอนาคตจะเปิดเสรีโซลาร์รูฟท็อป โดยปัจจุบันมีพลังงานทดแทนแล้วร้อยละ 12 และมีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าประมาณ 22 สตางค์/หน่วย หากพิจารณาประเด็นนี้ก็คงจะต้องชะลอการเปิดประมูลโครงการวีเอสพีพีเซมิเฟิร์ม 269 เมกะวัตต์ไปก่อนจนกว่าพีดีพีใหม่จะชัดเจน
“ขณะนี้ กฟผ.เสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน 2,000 เมกะวัตต์ แต่ความเห็นของผม คือ ไม่ควรกำหนดโควตาใด ๆ ใครเสนอราคาแข่งขันได้ดีที่สุดก็ควรจะได้สิทธิ์นั้นไป ส่วนสัดส่วนการกระจายเชื้อเพลิง ว่าต้องมีถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติเป็นสัดส่วนเท่าใดนั้น ก็ให้ดูว่าอะไรเหมาะสมที่สุด ซึ่งต้องพิจารณาว่าถึงปริมาณและราคาเชื้อเพลิง โดยเฉพาะแอลเอ็นจีที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้แพงเหมือนในอดีต” รมว.พลังงานกล่าว
รมว.พลังงาน ยังกล่าวด้วยว่า ในเรื่องเร่งด่วนที่ตนประกาศไว้ทั้ง 3 เรื่องขณะนี้มีความคืบหน้า คือ 1.ในส่วนของโรงไฟฟ้าภาคใต้จะสรุปว่าควรดำเนินการอย่างไรใน 2 สัปดาห์นี้ ซึ่งในส่วนของโรงไฟฟ้าถ่านหินก็อาจจะไม่จำเป็นต้องอยู่ในภาคใต้อาจจะไปอยู่ในภาคตะวันออกก็ได้ 2.เรื่องการประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกช-เอราวัณจะชัดเจนเรื่องหลักการในเดือนมกราคมนี้ และเปิดทีโออาร์ประมูลเดือนกุมภาพันธ์นี้ และ 3.เรื่องการผลิตไฟฟ้าโซลาร์รูฟท็อปเสรีจะมีความชัดเจนกลางปีนี้
ด้านนายพรชัย รุจิประภา ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน กล่าวว่า คก.ได้เสนอว่าในส่วนของแผนพีดีดีควรจัดทำใหม่บนสัดส่วนเชื้อเพลิงที่กระจายเหมาะสม ค่าไฟฟ้าต้องไม่แพง ต้องดูถึงการลงทุนระบบสายส่งและระบบส่งให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป โดยภาคประชาชนสามารถผลิตไฟฟ้าเองได้ โดยเฉพาะโซลาร์รูฟท็อปมีระบบไฟฟ้าสำรอง เพราะฉะนั้นระบบส่งก็ต้องรับจากภาคประชาชนได้ เปลี่ยนจากในอดีตที่ส่งไปจำหน่ายเพียงอย่างเดียว ส่วนสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าของภาครัฐนั้น จะเป็นหนึ่งในประเด็นที่คณะกรรมการปฏิรูปชุดใหญ่ที่ต้องมาหารือกันว่าควรส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความมาตรา 56 ว่า หมายความว่าอย่างไร และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิรูปประเทศหรือไม่
ทั้งนี้ มาตรา 56 ระบุว่า โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจําเป็นต่อ การดํารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทําด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละ 51 มิได้ การนําสาธารณูปโภคของรัฐไปให้เอกชนดําเนินการทางธุรกิจไม่ว่าด้วยประการใด ๆ รัฐต้องได้รับประโยชน์ตอบแทนอย่างเป็นธรรม โดยคํานึงถึงการลงทุนของรัฐ ประโยชน์ที่รัฐและเอกชนจะได้รับ และค่าบริการที่จะเรียกเก็บจากประชาชนประกอบกัน.-สำนักข่าวไทย