กรุงเทพฯ 17 พ.ย. – ไจก้าจับมือไทยถ่ายทอดเทคโนโลยีล้ำสมัยรถไฟเร็วสูงและการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเพิ่มศักยภาพคมนาคมขนส่งให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายชิโระ ซะโดะชิมะ เอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นประธานร่วมเปิดการสัมมนา “Thailand – Japan Railway Partnership for Connectivity Success Sharing Advanced SHINKANSEN Technologies & Area development” เพื่อเผยแพร่ความก้าวหน้าของโครงการต่างๆ ภายใต้ความร่วมมือตามบันทึกข้อตกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอเทคโนโลยีที่ทันสมัยของรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่น เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับระบบรถไฟความเร็วสูงของไทยในเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ รวมทั้งความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่หรือภูมิภาคที่เหมาะสม เพื่อให้การพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูงเกิดประโยชน์แก่คนไทยทุกระดับอย่างแท้จริงและทั่วถึง ตลอดจนเปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ ร่วมกันเสนอข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ
นายอาคม กล่าวว่า การลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านระบบรางระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งและการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (MLIT) ประเทศญี่ปุ่นได้ให้การสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาหลากหลายโครงการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีระบบรถไฟความเร็วสูง การนำเสนอแผนการพัฒนาพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ อย่างบูรณาการ การพัฒนาแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่อเนื่อง และการเพิ่มประสิทธิภาพบริการขนส่งสินค้าทางรถไฟ วันนี้จึงเป็นการนำเสนอก้าวหน้าของโครงการต่างๆ ที่ทั้ง 2 ประเทศได้ร่วมมือกัน
ด้านนายชิโร ซะโดะชิมะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า ข้อดีของระบบรถไฟชิงกันเซ็งคือมีความตรงต่อเวลาและความปลอดภัย ซึ่งเหมาะสำหรับนำมาปรับใช้ในการพัฒนาโครงการรถไฟความเร็วสูงของประเทศไทยในอนาคต โดยประเทศญี่ปุ่นพร้อมให้การสนับสนุนในด้านการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะวิศวกรรถไฟ รวมถึงการจัดฝึกอบรมให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง โดยที่ผ่านมา ได้จัดฝึกอบรมแล้วกว่า 10,000 คน ณ ศูนย์ฝึกอบรม กรุงเทพมหานคร นอกจากนี้ ในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางรางให้มีประสิทธิผลจำเป็นต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาพื้นที่ทั้งในเขตเมืองและชนบท
นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ระบุว่าการพัฒนารถไฟในประเทศไทย รวมถึงการวางแผนพัฒนาในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีผู้เชี่ยวชาญจากประเทศญี่ปุ่นหลากหลายสาขาที่มาร่วมบรรยายและให้ข้อมูล โดยเน้นถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการระบบรถไฟความเร็วสูงประสบความสำเร็จ เช่น ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของระบบ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาทรัพยากรบุคคล การพัฒนาพื้นที่หรือภูมิภาค เพื่อเสริมประสิทธิผลของโครงการและแผนการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ความคืบหน้ารถไฟความเร็วสูง ความร่วมมือไทย-ญี่ปุ่น นายอาคมกล่าวว่า ญี่ปุ่นได้นำเสนอรายงานความเหมาะสมโครงการความร่วมมือการก่อสร้างรถไฟไทย-ญี่ปุ่น เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 673 กม. ฉบับสมบูรณ์ ให้ฝ่ายไทยแล้ว โดยจะใช้เงินลงทุนรวม 2.76 แสนล้านบาท ไม่รวมงานระบบเดินรถและตัวรถ
ส่วนรูปแบบลงทุนญี่ปุ่นเห็นว่ารัฐบาลควรลงทุนเองทั้งหมด หากต้องการให้โครงการสำเร็จ เนื่องจากโครงการรถไฟความเร็วสูงต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ขณะที่ฝ่ายไทยได้ขอให้ญี่ปุ่นศึกษารูปแบบการลงทุนเพิ่มเติม โดยไทยได้เสนอให้ญี่ปุ่นเข้าร่วมลงทุนในงานระบบเดินรถ ซ่อมบำรุง ระยะเวลา 30 ปี เนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีชินคังเซน โดยไทยจะซื้อขบวนรถจากญี่ปุ่น
โดยภายใน 3 เดือน กระทรวงจะนำผลการศึกษาเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินโครงการได้ หากครม. เห็นชอบ จะเข้าสู่ขั้นตอนของการออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างเส้นทางเฟสที่ 1 ก่อน ช่วงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 418 กิโลเมตร
ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการเดินหน้าได้เร็ว จะมีการแบ่งระยะการก่อสร้างออกเป็น 2 ช่วง คือ เฟสที่ 1 กรุงเทพฯ-พิษณุโลก ระยะทาง 418 กม. แบ่งการก่อสร้างเป็น 2 สัญญาคือ จากสถานีบางซื่อ –ดอนเมือง-อยุธยา ระยะทางประมาณ 100 กม. และ ลพบุรี นครสวรรค์ -พิษณุโลก อีกกว่า 300 กม. และเฟส 2 พิษณุโลก-เชียงใหม่ ระยะทาง 573 กม. เพื่อให้สามารถเปิดให้บริการได้ก่อนในระยะแรก กทม.-อยุธยา โดยที่ไม่ต้องรอให้การก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งเส้นทาง นอกจากนื้ ฝ่ายไทยได้ขอให้ญี่ปุ่นส่งผู้เชี่ยวชาญมาแนะนำเรื่องแนวคิดพัฒนาพื้นที่รอบสถานีด้วย – สำนักข่าวไทย