หอสมุดแห่งชาติ 8 พ.ย.- วธ. เปิดใช้บริการ “ขอใบอนุญาตประกอบกิจการ “ภาพยนตร์-วีดิทัศน์-ร้านเกม” ผ่านระบบออนไลน์ ประหยัดเวลาขึ้นจากเดิม 1 เดือน
ที่หอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ประธานประชุมการจัดระบบขอใบอนุญาตประกอบกิจการ “ภาพยนตร์-วีดิทัศน์-ร้านเกม” ว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศในหลายๆด้าน ทั้งการศึกษา สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เป็นปัจจัยพื้นฐานที่เข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตของมนุษย์และเพื่อดำเนินงานให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย “ประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” ภายใต้แผนพัฒนาดิจิทัล เพื่อเศรษฐกิจและสังคมปรับเปลี่ยนภาครัฐสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล นำเทคโนโลยีดิจิทัล มาใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐ ทั้งส่วนกลาง และส่วนภูมิภาคอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบ
รมว.วธ.กล่าวว่า หลังมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) สำรวจสถานประกอบกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ทั่วประเทศทั้งใน กทม.และ ส่วนภูมิภาค พบว่ามีจำนวนทั้งสิ้น 44,677 แห่งเป็นสถานประกอบกิจการในเขต กทม. จำนวน 8,661 แห่ง และส่วนภูมิภาค จำนวน 36,016 แห่ง ทั้งนี้ พรบ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 กำหนดให้ใบอนุญาตมีอายุ 5 ปี และต้องต่ออายุใบอนุญาต ก่อนวันที่ใบอนุญาตเดิมจะสิ้นอายุ
ด้าน ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ กีรติวินทร ผู้ออกแบบระบบ เปิดเผยว่า ได้พัฒนาการขอใบอนุญาตประกอบกิจการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ในการรับคำขออนุญาตประกอบกิจการประเภทต่างๆผ่านระบบออนไลน์ ได้แก่ กิจการโรงภาพยนตร์, กิจการร้านวีดิทัศน์, กิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์, กิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายวีดิทัศน์ โดยที่ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอ พร้อมแนบเอกสารหลักฐาน ผ่านระบบออนไลน์เป็นการลดเอกสารหลักฐานที่จะต้องยื่น รวมถึงสามารถติดตามสถานะยื่นคำขอผ่านระบบได้ตลอดเวลา ลดการเดินทางมาติดต่อกับหน่วยงาน โดยผู้ประกอบกิจการสามารถเข้าใช้บริการได้ที่ www.culture.go.th หรือสแกน QR Code
เบื้องต้นจากการทดลองใช้ระบบดังกล่าวในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่าสามารถ ใช้เวลาในการขอใบอนุญาต จากเดิม 46 วัน เหลือ 16 วัน ลดระยะเวลาได้ถึง 30 วัน และภายในปี 2561 ระบบนี้จะเริ่มให้บริการในส่วนภูมิภาค เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการในการยื่นขอใบอนุญาต ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนา Application รองรับการใช้งานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Smart Phone) ให้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น.-สำนักข่าวไทย
