ยธ.12 ต.ค.-ผู้ปกครองของนักท่องเที่ยวสาวชาวจีน ร้องกระทรวงยุติธรรม หลังคดีไม่คืบ ลูกสาวมาเที่ยวไทยถูกรถขนเนื้อหมูชนเจ็บและเสียชีวิต ไม่มีเงินส่งศพกลับประเทศ
นายจูนไหม่ เกา อายุ 52 ปี ชาวจีนมณฑลหูหนาน พร้อมด้วยนายณรงค์ ทองคำ ทนายความเข้ายื่นหนังสือต่อนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัด กระทรวงยุติธรรม เพื่อร้องขอความช่วยเหลือภายหลังนางสาวเจวียน เกา อายุ 25 ปีบุตรสาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ที่อ.หัวหิน จ.เพชรบุรี แต่คดีไม่คืบ โดยเกิดอุบัติเหตุตั้งแต่ต้นเดือน ต.ค.ซึ่งระหว่างบาดเจ็บ ได้ประสานขอความช่วยเหลือจากสถานทูตจีน แต่เมื่อนางสาวเจวียน ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 9. ต.ค.ขณะนี้คือไม่สามารถนำศพกลับบ้านเกิดได้ เนื่องจากครอบครัวของนางสาวเจวียนมีฐานะยากจน จึงขอให้กระทรวงยุติธรรมช่วยเหลือ โดยก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เนื่องจากนาวสาวเจวียนเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้าเมืองถูกกฎหมาย
ทั้งนี้ อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่นางสาวเจวียนขี่รถจักรยานยนต์ ระหว่างนั้นมีรถตู้บรรทุกหมูสดวิ่งมาเลนขวาสุดด้วยความเร็วทำให้ชนรถมอเตอร์ไซค์ของนางสาวเจวียนกระเด็นไปไกลถึง 19 เมตร ทั้งที่บริเวณดังกล่าวเป็นเขตเมืองไม่สามารถขับรถด้วยความเร็วได้ จากนั้นมีการแจ้งความแต่จนถึงขณะนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งไม่ได้รับการติดต่อจากคู่กรณีในการช่วยเหลือเบื้องต้น แต่ทางตำรวจได้นัดให้ผู้เสียหายเจรจากับบริษัทประกันภัยของคู่กรณี
ด้านนายจูน ไหม่ เปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจมากและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อ ไปเนื่องจากเงินที่นำติดตัวมาก็ใช้ไปหมดแล้ว และคู่กรณีก็ไม่เคยมาเยี่ยมหรือแสดงน้ำใจใดๆทั้งสิ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการเก็บศพสูงถึงวันละ 2,000 บาท และการนำศพกลับประเทศจีนต้องใช้เงินกว่า 1 แสนบาท
ด้านนายธวัชชัย กล่าวว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ แต่เบื้องต้นต้องรอการแจ้งข้อกล่าวหาของทางตำรวจก่อนจึงจะดำเนินการต่อได้เพราะต้องพิจารณาด้วยว่าตัวผู้เสียชีวิตไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นเพียงผู้เสียงหายในคดีอาญา กองทุนติธรรมจึงจะสามารถช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีได้ ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บศพจะทำหนังสือหารือกับกระทรวงสาธารณสุขว่าจะสามารถช่วยเหลือได้อย่างไร
ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวมีคลิปภาพเป็นหลักฐานชัดเจน จึงเชื่อว่าง่ายต่อการสืบสวนสอบสวน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด ตำรวจจึงยังไม่แจ้งข้อกล่าวหาทั้งที่เหตุการณ์ผ่านมาหลายวัน.-สำนักข่าวไทย