น่าน 21 ต.ค.- ครอบครัว “แซ่เติน” ชนเผ่าเมี่ยนชาวน่านซาบซึ้งที่สุดในชีวิตได้ถวายงานเป็นช่างเครื่องเงินในวังรับใช้เบื้องพระยุคลบาท โดยเฉพาะ “เล่าปี่” วัย 80 ปี เป็นใบ้ถวายงานนานถึง 40 ปี เผยพระเมตตายังแผ่ไพศาล ทั้งหมู่บ้านเปลี่ยนจากทำไร่เลื่อนลอยมีอาชีพมั่นคงแบบพอเพียง
นายเล่าป่า แซ่เติน อายุ 80 ปี ผู้พิการเป็นใบ้ ชนเผ่าเมี่ยน ราษฎรบ้านเลขที่ 75 หมู่ 2 บ้านห้วยสะนาว ต.ป่ากลาง อ.ปัว จ.น่าน และนายกมล แซ่เติน อายุ 71 ปี หลานชาย เปิดเผยแทนนายเล่าป่าถึงความเป็นของครอบครัวที่ได้มีโอกาสรับใช้ถวายงานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชว่า เมื่อปี 2515 พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรตำบลป่ากลาง อ.ปัว ซึ่งตนได้เข้าเฝ้ารับเสด็จฯ และทูลเกล้าฯ ถวายเครื่องเงินที่ครอบครัวทำขึ้น และการทำเครื่องเงินสมัยนั้นยังไม่เป็นที่นิยม ส่วนใหญ่ทำไร่เลื่อนลอย หลังจากนั้น 2 ปีต่อมา ทางราชการแจ้งว่า พระองค์มีพระกระแสรับสั่งให้ผู้ทำเครื่องเงินถวายในครั้งนั้นเข้าวัง เพื่อเป็นช่างเงินถวายงาน ซึ่งตนและนายเล่าป่า น้าชายจึงเก็บอุปกรณ์ทำเครื่องเงินลงหีบไม้ใบใหญ่และเดินทางไปที่พระราชตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ เริ่มต้นทำงานเป็นช่างเงินถวายงาน และยังได้ไปทำงานเป็นช่างเงินในอีกหลายที่ทั้งพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ วังไกลกังวล และวังสวนจิตรลดา ซึ่งก็เป็นทั้งช่างตีเงินและบางครั้งก็ไปถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่น ๆ ด้วย
นายกมล เล่าว่า ช่วงที่อยู่วังสวนจิตรลดา พระองค์ทรงรับสั่งว่า “ทำเงินนั้นคงขายได้ยาก ต้องทำทองคำด้วยขายได้ดีกว่า” จึงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างทองที่บ้านหม้อมาสอนทำทอง ทำให้มีความรู้และประสบการณ์งานช่างทอง ช่างถมทองติดตัวมาเป็นอาชีพจนถึงทุกวันนี้ โดยตนอยู่ถวายงานได้ประมาณ 5 ปี ด้วยความเป็นห่วงครอบครัวจึงได้ขอกลับบ้าน พระองค์ยังทรงรับสั่งว่า “กลับบ้านไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยแล้วให้กลับเข้าวังอีกนะ” ส่วนนายเล่าป่ายังอยู่รับใช้ถวายงานมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2517 – 2557 รวม 40 ปี และยังได้รับพระราชทานรางวัลจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จากการออกแบบเครื่องเงินถวายและทรงโปรดชิ้นงานเรือ เป็นเครื่องเงินผสมทอง ลวดลายวิจิตร
นางสาวบุญานิส แซ่เติน อายุ 47 ปี เป็นลูกหลานในรุ่นที่ 3 กล่าวว่า พระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อชนเผ่าเมี่ยนบ้านห้วยสะนาว ทำให้หมู่บ้านในตำบลป่ากลางมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากอาชีพการทำเครื่องเงิน ไม่ต้องไปบุกรุกแผ้วถางตัดไม้ทำลายป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอยอีก มีโอกาส มีชีวิตและมีอนาคตที่มั่นคง โดยครอบครัว “แซ่เติน” ได้ยึดถือคำสอนและแบบอย่างที่พระองค์ท่านทรงสอนและทำให้ดู คือความพอเพียง โดยจากการที่พระองค์ทรงเริ่มจากช่างเครื่องเงินเพียง 2-3 คน และขยายจนเป็นศูนย์ศิลปาชีพ เพื่อให้โอกาสคนไทยทุกเชื้อชาติได้มีโอกาสมีเรียนรู้ฝึกทักษะกลายเป็นอาชีพที่ยั่งยืนได้ ทำให้ตนและทุกคนในครอบครัวยึดถือความพอเพียงเป็นแบบอย่างในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตมาทุกวันนี้.-สำนักข่าวไทย