กรุงเทพฯ 17 ก.ย. –
กฟผ.ปรับตัวรับรายได้หดหลังเกิดเทคโนโลยีใหม่ผลิตไฟฟ้า ยืนยันไม่ลดพนักงาน พร้อมร่วมมือเอกชน
ชาวบ้านลงทุนพลังงานทดแทน และเทคโนโลยีใหม่
นายสหรัฐ บุญโพธิภักดี
รองผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยไป(กฟผ.) ในฐานะโฆษก กฟผ. กล่าวว่า
ศึกษาแผนการปรับตัวรับเทคโนโลยีใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือ Disruptive technologyที่ จะส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายไฟฟ้าของ กฟผ. มากขึ้นในอนาคต
โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์
ทั้งการติดตั้งแผงผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนพื้นดิน(โซลาร์ฟาร์ม)ติดตั้งบนหลังคา(โซลาร์รูฟท็อป)
โดยจะมีการติดตั้ง เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าใช้เอง (ไอพีเอส)มากขึ้น
ซึ่งปัจจุบันแม้มีเพียงไม่ถึงร้อยละ3 แต่อนาคตก็จะมีมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ปัจจุบันท่ัวประเทศมีโรงไฟฟ้าไอพีเอสทั้งเชื้อเพลิงทุกประเภทที่ราว 2,000 เมกะวัตต์ ซึ่งหนึ่งในแผนงานคือการร่วมทุนกับเอกชนในการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆในอนาคต
“ยอมรับ ว่า เทคโนโลยีใหม่กระทบต่อผลดำเนินการของ กฟผ. และในอนาคต อาจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น กฟผ.จึงอยู่ระหว่างศึกษาหาแนวทางเพิ่มรายได้ในอนาคตเพื่อรับมือ เช่น ร่วมลงทุนกับภาคเอกชนในธุรกิจใหม่ๆ เช่น การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน(Energy Storage) การลงทุนเรื่อง Micro grid เริ่มต้นที่แม่ฮ่องสอนเป็นต้น” นายสหรัฐ กล่าว
นาย สหรัฐ กล่าวว่า กฟผ. มีพนักงานราว 2.3 หมื่นคน กฟผ.ไม่มีแผนลดพนักงานแต่อย่างใด โดยในส่วน Energy Storage ที่จะลงทุนจะเริ่มใน 2 พื้นที่คือ อ.บำเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ ขนาด 16 เมกะวัตต์ และอ.ชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ขนาด 21 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ คณะกรรมการ กฟผ.เห็นชอบให้ กฟผ.เพิ่มการลงทุนพลังงานหมุนเวียน 20ปี (2558-2579) จาก 500 เมกะวัตต์ เป็น 2,000 เมกะวัตต์ ใช้เงินลงทุน 172,600 ล้านบาท ประกอบไปด้วยพลังงานแสงอาทิตย์900 เมกะวัตต์ ชีวมวล 595 เมกะวัตต์,พลังงานลม 229 เมกะวัตต์, พลังน้ำ 169 เมกะวัตต์, ก๊าซชีวภาพ/พืชพลังงาน 56 เมกะวัตต์ และขยะ 50 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ในส่วนของเชื้อเพลิงชีวมวล จำนวน 595 เมกะวัตต์ โดย กฟผ. อยู่ระหว่างร่างกฎหมายเพื่อเปิดให้เอกชนหรือชาวบ้านในพื้นที่มาร่วมลงทุนผลิตไฟฟ้าชีวมวลที่มีขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ หรือใช้เงินลงทุนต่ำกว่า1,000 ล้านบาทต่อ 1 โครงการ เพราะหากมากกว่านี้จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 หรือ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 12 เดือน โครงการถึงจะผ่านการอนุมัติ
“นิติบุคคล ที่จะร่วมทุนในโรงไฟฟ้าชีวมวลหรือโรงไฟฟ้าประชารัฐเช่นวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ และกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับผลประโยชน์ ทั้งจากการขายเชื้อเพลิง และเงินกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นคาดจะนำร่องในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนปลูกไม้โตเร็ว เช่นกระถินณรงค์เพื่อเป็นเชื้อเพลิง” นายสหรัฐกล่าว . – สำนักข่าวไทย
