กลุ่ม ปตท.ลุยลงทุนเวียดนามต่อแต่ปรับขนาดโรงกลั่นเน้นปิโตรเคมี

กรุงเทพฯ 25 ต.ค. –  กลุ่ม ปตท.ยังเดินหน้าศึกษาลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามต่อ แม้ซาอุฯ จะถอนตัว และท่าทีจังหวัด Binh Dinh พื้นที่ลงทุนอาจปรับแผนไม่ส่งเสริมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี พร้อมปรับแผนใหม่ลดขนาดโรงกลั่นฯ เน้นเป็นเพิ่มผลผลิตปิโตรเคมีให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี


นายสุกฤตย์ สุรบถโสภณ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี  (IRPC) เปิดเผยว่า จากที่ บมจ.ปตท.มอบหมายให้ไออาร์พีซีเป็นผู้ศึกษาโครงการลงทุนโรงกลั่นและปิโตรคอมเพล็กซ์ในเวียดนามของกลุ่ม บมจ.ปตท. (PTT) ฉบับปรับปรุงใหม่ (Victory Project Reconfiguration) เบื้องต้นปรับปรุงใหม่เป็นโรงกลั่นที่เน้นด้านการผลิตปิโตรเคมีเป็นหลัก เพื่อรองรับกับเทคโนโลยีของโลกที่เปลี่ยนแปลงที่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) มาแทนที่รถใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น และในเวียดนามเองก็มีการสร้างโรงกลั่นในประเทศเกิดขึ้นแล้ว 2 แห่ง

สำหรับผลการศึกษา Victory Project Reconfiguration ในเวียดนามฉบับปรับปรุงใหม่เบื้องต้นปรับขนาดการลงทุนโรงกลั่นน้ำมันลงเหลือ  200,000 บาร์เรล/วัน จากเดิม 400,000 บาร์เรล/วัน กำลังการผลิต Olefins  3 ล้านตัน/ปี  Aromatics 1.4 ล้านตัน/ปี เงินลงทุนประมาณ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิม 18,000-20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะได้ผลผลิตน้ำมันเพียงน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยาน รวม 70,000-80,000 บาร์เรล/วัน หรือประมาณร้อยละ 35-40 เท่านั้น ขณะที่ส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีประเภทต่าง ๆ เช่น LLDPE, HDPE, PP, PX, Benzene , Butadiene เป็นต้น คาดว่าจะสร้างกำไรขั้นต้นจากการกลุ่มผลิตของกลุ่ม (GIM) ระดับ 25-30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อัตราผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ระดับร้อยละ 12-14


อย่างไรก็ตาม โครงการนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับเรื่องพื้นที่ลงทุนที่สิ้นปีนี้จะรับทราบชัดเจนว่ารัฐบาลท้องถิ่นจังหวัด Binh Dinh ว่าจะยังให้การสนับสนุนโครงการปิโตรเคมีอยู่หรือไม่ หากทางจังหวัดไม่เห็นชอบก็ต้องหาพื้นที่อื่นในเวียดนามต่อไป ขณะเดียวกันกลุ่มปตท.ก็ต้องหาพันธมิตรร่วมทุนรายใหม่  หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัท ซาอุดิอารัมโก (Saudi Aramco) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันแห่งชาติของซาอุดิอาระเบียถอนตัวจากการร่วมทุนร้อยละ  40 ในโครงการ โดยกลุ่ม ปตท.ยังคงตั้งเป้าหมายจะถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนร้อยละ 50

“ปี 2560 คงจะทราบชัดเจนว่าการลงทุนในเวียดนามจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ หากหาพื้นที่ไม่ได้ไออาร์พีซี ก็จะลงทุนในประเทศไทยในโครงการพาราไซลีน (PX) ที่บริษัทจะเป็นผู้ลงทุนเอง จากเดิมเคยศึกษาโครงการร่วมกันระหว่าง บมจ.ไทยออยล์ (TOP) และ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) อาจมีกำลังผลิต 900,000 ตัน/ปี โดยนำวัตถุดิบจากของบริษัททั้งหมดมาจากโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) โดยต้องดูสถานการณ์และดูความสามารถในการลงทุนของไออาร์พีซีเองด้วย เราคงไม่ลงทุน 2 โครงการพร้อมกัน”นายสุกฤตย์ กล่าว

ทั้งนี้ ประเทศเวียดนามที่ยังมีความต้องการใช้ปิโตรเคมีค่อนข้างสูง โดยความต้องการใช้ปิโตรเคมีจะเติบโตมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่ขยายตัวปีละร้อยละ 6-7 กำลังผลิตไม่เพียงพอ โดยมีโรงกลั่นน้ำมันในประเทศเพียง 2 แห่ง โดยโรงแรกกำลังกลั่น 100,000 บาร์เรล/วัน ทำโพรไพลีนบางส่วน ส่วนโรงที่ 2 เสร็จปลายปี 2560 กำลังกลั่น 200,000 บาร์เรล/วัน เน้นการกลั่นและทำอะโรเมติกส์ไม่มาก ส่วนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ Long Son Petrochemicals ของกลุ่ม บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) อยู่ระหว่างการดำเนินการ แต่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้าง โครงการนี้หาผู้ร่วมทุนใหม่แทน Qatar Petroleum International  หากก่อสร้างเสร็จก็ยังไม่เพียงพอ เพราะความต้องการปิโตรเคมีของเวียดนามยังสูงมาก


ส่วนผลดำเนินการของไออาร์พีซีปี 2559 นายสุกฤติย์  ยังเชื่อมั่นว่าปีนี้จะมีกำไรสุทธิมากกว่าปีที่แล้วที่ 9,400 ล้านบาทในปีที่แล้ว แม้ว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย, ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) นั้นก็อาจจะทำไม่ได้ตามเป้าหมาย หลังโครงการ  EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถองค์กรในทุกด้านนั้นสามารถสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี  (EBIT) ได้เพียง 2,700 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะสร้าง EBIT ได้ 3,400 ล้านบาท เป็นผลมาจากโครงการ UHV ล่าช้ากว่าแผน โดยเสร็จสิ้นเดือนกรกฎาคม จากเดิมที่ต้องเดินเครื่องผลิตไตรมาส 1/2559 ด้านแนวโน้ม ค่าการกลั่นรวม หรือ GIM ปีนี้จะต่ำกว่าปีที่แล้วด้วย แต่ในส่วนกำไรที่เพิ่มขึ้นปีนี้ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้ ๆ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้คาดว่าธุรกิจโรงกลั่นในสิ้นไตรมาส 4/2559 น่าจะมีกำไรจากสตอกน้ำมัน แม้ว่ามาร์จิ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้จะต่ำกว่าครึ่งปีแรกก็ตาม. -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]