กทม. 9 ส.ค.- ตำรวจ สน.หัวหมาก ใช้เพียง 1 วัน ตามจับแก๊งคนร้ายตระเวนก่อเหตุจี้ชิงโทรศัพท์มือ เหยื่อล่าสุดคือนักเรียน ม.1 ซึ่งถูกมีดปาดที่ลำคอด้วย
ความคืบหน้าคดีคนร้ายปาดคอชิงทรัพย์โทรศัพท์มือถือนักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนย่านบางกะปิ บริเวณเชิงสะพานข้ามคลองแสนแสบ ใกล้แยกบางกะปิ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก สามารถจับกุมผู้ต้องหาชาย 3 คน ได้วานนี้ (8 ส.ค.) พร้อมเสื้อผ้าที่สวมใส่วันก่อเหตุ ก่อนขยายผลตามจับกุมกลุ่มเพื่อนที่ช่วยนำทรัพย์สินผู้เสียหายไปขายอีก 3 คน รวมเป็น 6 คน
ผู้ต้องหาสารภาพว่า ก่อเหตุจริง โดยตระเวนจี้ชิงทรัพย์เด็กนักเรียนในพื้นที่บางกะปิ เลือกเหยื่อเด็กนักเรียน เนื่องจากสามารถข่มขู่ได้ง่ายและไม่ต่อสู้ วันเกิดเหตุลงมือทั้งหมด 3 ราย และยังก่อเหตุลักษณะเดียวกันเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม อีก 1 ราย นำทรัพย์สินที่ได้ไปขายร้านแห่งหนึ่งในห้างย่านบางกะปิ แล้วนำเงินไปใช้เที่ยวเตร่
เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลตามคำให้การผู้ต้องหาจนสามารถติดตามโทรศัพท์มือถือผู้เสียหายได้จากร้านที่ผู้ต้องหานำไปขาย เบื้องต้นถูกตั้งข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธมีดเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บแก่ร่างกายและจิตใจ, ร่วมกันพกพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร และเมื่อ 08.00 น. วันนี้ พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลอาญา รัชดาฯ ฝากขัง
พันตำรวจเอกศักดิ์สิทธิ์ มีสวัสดิ์ ผู้กำกับ สน.หัวหมาก กล่าวว่า ขณะนี้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแล้ว 6 คน ทั้งผู้ก่อเหตุ และช่วยนำทรัพย์สินไปขาย ส่วนมาตรการป้องกันได้ประสาน สน.ลาดพร้าว ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อช่วยส่งสายตรวจเข้ามาตรวจตราพื้นที่ เสี่ยงป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ พร้อมฝากถึงร้านรับซื้อโทรศัพท์ ให้เก็บข้อมูลของผู้ขาย ป้องกันตกเป็นผู้ต้องหารับซื้อของโจร
เด็กชายเอ (นามสมมุติ) เล่าว่า ช่วงเย็นวันเกิดเหตุ (7 ส.ค.) หลังเวลาเลิกเรียน ไปกับเพื่อนอีก 2 คน เพื่อไหว้ครูที่โรงเรียนเก่า ระหว่างเดินทางกลับมาถึงใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบ มีชายสองคนเดินมาถามเวลา จึงล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วบอกเวลา ก่อนจะเดินไป แต่ชายทั้งสองกลับอีกครั้ง เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูเวลาก็ถูกมีดจ่อไว้ที่คอ ขณะที่อีกคนต่อยเข้าที่ใบหน้า ทำให้มีดที่จ่ออยู่บาดลำคอเป็นแผลยาว จากนั้นชาย 2 คน ก็กระชากโทรศัพท์ที่ตนถืออยู่ในมือไป ก่อนจะเอารหัสล็อกโทรศัพท์ไปและพูดเพียงว่า “กูขอนะ” แล้ววิ่งหนี ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันไม่ถูกทำร้ายหรือชิงทรัพย์ เพราะวิ่งหนีไปก่อน ตนไปขอให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุช่วยทำแผลและแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นางสาวสุวลี บู่ทอง มารดาเด็กชายเอ บอกว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เพราะทำงานอยู่ต่างจังหวัด ทราบเรื่องจากลูกชายภายหลัง ก็รู้สึกตกใจ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ลูกชายใช้เดินทางกลับบ้าน ซึ่งไม่เคยเจอกลุ่มผู้ต้องหา หรือมีเรื่องกันมาก่อน ขนาดลูกชายไม่ขัดขืนยังถูกทำร้ายขนาดนี้ ใครโดนแล้วต่อสู้จะถูกทำร้ายขนาดไหน ขอฝากถึงประชาชนหรือเยาวชนที่จำเป็นต้องผ่านจุดเกิดเหตุ ให้ระมัดระวัง หากไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณดังกล่าว หรือมีกลุ่มวัยรุ่นรวมตัวกันในที่เปลี่ยว ให้หลีกเลี่ยงเพราะอาจถูกทำร้ายเช่นลูกชายตน พอรู้ว่าตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด ก็รู้สึกอุ่นใจและขอขอบคุณตำรวจทุกนาย เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคนอื่นอีก.-สำนักข่าวไทย
![](https://imgs.mcot.net/images//2017/08/1502263371299.jpg)