สำนักงานกกต. -นายประวิช รัตนเพียร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ กกต.ทั้ง 5 คนได้เซ็นลงนามในหนังสือที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างพระราชบัญญัติระกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสำนักกฎหมายและคดีเป็นตัวแทนของสำนักงานฯ ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ใน 2 ประเด็น คือเรื่อง การตัดอำนาจ กกต.แต่ละคนในการระงับยับยั้งการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตในหน่วยหรือเขตเลือกตั้งที่ไปพบ และเรื่อง กกต.ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งท้องถิ่นได้เอง ต้องมอบให้ส่วนราชการ หรือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงาน ที่เห็นว่าอาจมีปัญหาทางข้อกฎหมายในอนาคต จึงจำเป็นต้องยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย พร้อมยืนยันว่า กกต.ไม่เคยมีมติว่าจะส่งเรื่องผ่านทางนายกรัฐมนตรี
ส่วนเรื่องเซตซีโร่ กกต. นายประวิช ยืนยันว่า กกต.ไม่ติดใจ เพราะกระบวนการเสร็จสิ้นไปแล้ว อีกทั้ง กกต. ชุดนี้รับทราบดีว่าจะต้องอยู่รักษาการเพื่อเตรียมงานต่างๆก่อนส่งไม้ต่อให้ กกต.ชุดใหม่
“การยื่นศาลรัฐธรรมนูญเป็นการส่งเฉพาะเรื่องที่เห็นว่าเป็นปัญหาทางข้อกฎหมาย ถ้าไม่ทำความเห็นไว้ตรงนี้ แล้วเกิดมีปัญหาในอนาคตจะกลายเป็นว่า กกต. ไม่ทักท้วง ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาอย่างไร จะรับคำร้องหรือไม่รับคำร้อง ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลรัฐธรรมนูญ วันนี้ กกต.ถือว่าทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอย่างไร เราก็เคารพ เพราะเราไม่ได้ต้องการยื้อโรดแมปการเลือกตั้ง หรือทำเพื่อให้ กกต.ชุดปัจจุบันทำหน้าที่ต่อไป ขอย้ำว่าเราไม่ติดใจว่าจะอยู่หรือไม่ เพราะเกมมันโอเวอร์แล้ว ” นายประวิช กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงเวลา 15.30 น. วันนี้ (21ก.ค.) เจ้าหน้าที่สำนักกฎหมาย ได้นำคำร้องไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หลัง กกต.ทั้ง 5 คน ลงนามเรียบร้อย ถือว่าเป็นการยื่นในช่วงที่ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ในมือนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้มีรายงานข่าวจาก กกต. สรุปข้อเท็จจริงการยื่นคำร้องว่า กกต. มีมติในการประชุม เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2560 เห็นว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. …. ยังมีประเด็นที่ไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และอาจเกิดเป็นประเด็นปัญหาในทางปฏิบัติของคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมทั้งอาจเป็นปัญหาในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในอนาคต รวม 2 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นหน้าที่และอำนาจของกรรมการการเลือกตั้งแต่ละคน ตามมาตรา 26 แห่ง ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ….และประเด็นอำนาจการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 27 แห่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. …. จึงทำให้ต้องยื่นคำร้องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากขณะนี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่แทนรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญ กลไกที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการออกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญให้เป็นไปอย่างละเอียดรอบคอบ จึงไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างปกติ ซึ่งจะส่งผลให้กฎหมายที่ประกาศใช้อาจเกิดข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรงได้ แต่เพื่อให้การตรวจสอบการออกกฎหมายเป็นไปโดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดมีการถ่วงดุลกันตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ดังนั้น อาศัยบทบัญญัติตามมาตรา 5 มาตรา 210 มาตรา 273 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ข้อ 17 วรรคหนึ่ง (15) ซึ่งกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่และอำนาจพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายหรือร่างกฎหมายและเมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับ ให้กระทำการนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประกอบกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 15-18/2556 ลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2556 ที่เคยวางแนวทางการปฏิบัติไว้และคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่ให้มีคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อใช้เป็นหลักในการปกครองและเป็นแนวทางในการจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่น โดยได้กำหนดกลไกการให้สถาบันศาล และองค์กรอิสระอื่น ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุจริตเที่ยงธรรม และเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง กกต.จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย.-สำนักข่าวไทย