นนทบุรี 16 ก.ค. – ไทย-ตุรกีประกาศเปิดเจรจาเอฟทีเอ 19 ก.ค.นี้ หวังเชื่อมเอเชีย-ยุโรป ตั้งเป้าจบปลายปี 61
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มีกำหนดเยือนกรุงอังการา สาธารณรัฐตุรกี เพื่อเข้าร่วมพิธีประกาศเปิดเจรจาเอฟทีเอร่วมกับนาย Nihat Zeybekçi รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจของตุรกี วันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ทั้งนี้ การเจรจาเอฟทีเอมาจากเจตนารมณ์ของทั้ง 2 ประเทศในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคี
นางอภิรดี กล่าวเสริมว่า ตุรกีเป็นตลาดขนาดใหญ่มีประชากรประมาณ 80 ล้านคน และมีนักท่องเที่ยวปีละกว่า 30 ล้านคน และมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 19 ของโลก อีกทั้งยังเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศ G20 ตุรกีมีที่ตั้งได้เปรียบด้านยุทธศาสตร์สามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างเอเชียกับยุโรป และเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้า ทั้งด้านเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก เป็นประเทศมุสลิมแบบเปิด จึงมีความ สัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางที่เป็นประเทศมุสลิมด้วยกัน นอกจากนี้ ยังเป็นเส้นทางขนส่งสำคัญจากทะเลแคสเปียนและภูมิภาคเอเชีย ไทย จึงสามารถใช้ตุรกีเป็นสะพานเชื่อมต่อทางการค้าไปสู่ประเทศต่าง ๆ ได้ อาทิ ยุโรปตะวันออก กลุ่มประเทศบอลข่าน และแอฟริกาตอนเหนือ ขณะเดียวกันตุรกีสามารถใช้ไทยเป็นประตูสู่ภูมิภาคอาเซียน และ CLMV ได้ นอกจากนี้ ตุรกีมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน และให้การคุ้มครองนักลงทุน จึงเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยที่จะเข้าไปลงทุนในตุรกีและโอกาสส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร การแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร และประมง รวมทั้งการผลิตอาหารฮาลาล เป็นต้น
สำหรับการเจรจาเอฟทีเอไทย-ตุรกี รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 19 – 20 กรกฎาคม 2560 ที่ประเทศตุรกีเป็นเจ้าภาพ จะมีนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เป็นประธานร่วมกับ Mr. Murat Yapici อธิบดีกรมกิจการสหภาพยุโรป กระทรวงเศรษฐกิจตุรกี โดยการเจรจารอบที่ 1 ทั้ง 2 ฝ่ายมีเป้าหมายหารือโครงสร้างของข้อบทความตกลงการค้าสินค้า การแบ่งกลุ่มการเจรจาที่เกี่ยวข้องกับการค้าสินค้า การแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน แผนการเจรจาและความคาดหวัง รวมถึงเป้าหมายการเจรจาแต่ละรอบ เพื่อให้การดำเนินการเจรจาสามารถเสร็จสิ้นภายในปลายปี 2561
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (มูลนิธิ สวค.) เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ โดยผลการศึกษาพบว่าจีดีพีของไทยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.03-0.04 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 74-99 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และการส่งออกของไทยไปโลกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.03-0.05 หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50-90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ รายการสินค้าที่คาดว่าไทยจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ ยานพาหนะ ตู้เย็น พลาสติกชนิดโพลิสไตรีน ผ้าทอ เมล็ดพืช อาหารฮาลาล เคมีภัณฑ์อินทรีย์ พลาสติกและผลิตภัณฑ์ ยางและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
สำหรับปี 2559 ตุรกีเป็นคู่ค้าอันดับ 35 ของไทยในตลาดโลก และเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยการค้า 2 ฝ่ายมีมูลค่า 1,370.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.33 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 772.34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 1071.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้ามูลค่า 299.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2559 การค้า 2ฝ่ายมีมูลค่า 609.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 7.81 และมูลค่าการค้า 2 ฝ่ายคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.34 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย และไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า 419.07 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกมูลค่า 514.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 13.18 และนำเข้ามูลค่า 95.11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากปีก่อนหน้าร้อยละ 14.19 สินค้าส่งออกของไทยที่มีศักยภาพ เช่น เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ อุปกรณ์กึ่งตัวนำทรานซิสเตอร์และไดโอด ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าจากตุรกี เช่น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป กระจก แก้วและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ เครื่องประดับอัญมณี ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย