กรุงเทพฯ 6 ก.ค. – ข่าวดีเชฟรอน-ปตท.สผ.คงกำลังผลิตแหล่งเอราวัณ-บงกช เท่าเดิม 2,100 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จนถึงปี 2562-2563 หรือก่อนหมดอายุสัมปทาน 3 ปี รอกรมสรรพากรพิจารณาว่าจะให้นำค่าเสื่อมมาลดหย่อนภาษีเหลือ 3 ปีจากเดิม 5 ปีได้หรือไม่ ด้านนักวิชาการชี้ควรประมูล 2 แหล่งด้วยพีเอสซี แต่ผู้ผลิตระบุใช้สัมปทานดีที่สุด
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ. ) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทกำลังรอการประกาศหลักเกณฑ์การประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่หมดอายุสัมปทานปี 2565-2566 คือ แหล่งเอราวัณ -บงกช อย่างเป็นทางการ ซึ่งในฐานะเป็นผู้ดำเนินการ หรือโอเปอเรเตอร์ แหล่งบงกช ดังนั้น จะยื่นประมูลแหล่งบงกชอย่างแน่นอน ส่วนแหล่งเอราวัณนั้น กำลังหารือกับพันธมิตร คือ เชฟรอน อย่างใกล้ชิดว่า จะร่วมดำเนินการกันอย่างไร หรือต่างฝ่ายต่างประมูล แม้ว่าทางกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติต้องการให้ ปตท.สผ.เข้าร่วมประมูลทั้ง 2 แหล่งก็ตาม และในส่วนตัวก็มองว่าหากภาครัฐจะเปิดประมูลด้วยระบบสัมปทานนั้น จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อการผลิตและทำให้มีความมั่นคงด้านพลังงาน ส่วนแท่นขุดเจาะปิโตรเลียมในแหล่งบงกชที่จะหมดสัมปทานนั้น ทาง ปตท.สผ.กำลังรอฟังระเบียบจากภาครัฐและศึกษาระเบียบการรื้อถอนว่าจะให้ดำเนินการอย่างไร
นายสมพร กล่าวด้วยว่า สำหรับแหล่งผลิตปิโตรเลียมสิริกิติ์ หรือ S1 ที่หยุดผลิตตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2560 ตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด เนื่องจากติดปัญหาการใช้พื้นที่ของ ส.ป.ก.นั้น ปัจจุบัน ปตท.สผ.ได้กลับมาผลิตในแหล่ง S1ตามปกติแล้วตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศใช้มาตรา 44 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2560 ให้ยกเว้นกรณีการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม การวางกังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า และการทำเหมืองแร่สามารถใช้พื้นที่ ส.ป.ก.ได้
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ปตท.สผ.เป็นโอเปอเรเตอร์แหล่งบงกชมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 840 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนแหล่งเชฟรอนฯ เป็นโอเปอเรเตอร์แหล่งเอราวัณมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 1,240 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า บริษัทขอดูหลักการทีโออาร์ที่กระทรวงพลังงานคาดการณ์ว่าจะประกาศออกมาได้ในเดือนสิงหาคมนี้ ว่ามีรูปแบบอย่างไร จึงขอตอบว่าจะประมูลอย่างไร ซึ่งปัจจุบันนี้บริษัทยังคงผลิตก๊าซฯ ตามสัญญา โดยความตั้งใจของเชฟรอนนั้น เมื่ออยู่เมืองไทยลงทุนมายาวนาน 50 ปีแล้ว ก็มีความคาดหวังจะลงทุนต่อยาวนานอีกไม่ต่ำกว่า 50ปี
นายศุภลักษณ์ พาฬอนุรักษ์ ผู้อำนวยการกองแผนงานเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า ขณะนี้กรมฯ กำลังหาทางที่จะยืดอายุการผลิตของแหล่งเอราวัณ-บงกชให้รักษาระดับการผลิตอัตราปัจจุบันให้นานที่สุด จากปกติแล้วช่วงก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน 5 ปี ทางผู้ผลิตจะไม่ลงทุนเพิ่มจนทำให้กำลังผลิตลดลง และกระทบต่อความมั่นคงต่อการผลิตไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ล่าสุดจากการเจรจาทั้ง 2 รายจะคงกำลังผลิตนานถึงปี 2562-2563 ส่วนในช่วง 3 ปีก่อนที่จะหมดอายุสัมปทาน ทางผู้ผลิตก็รอดูกลไกว่าภาครัฐจะมีแนวทางร่วมยืดอายุการผลิตอย่างไร
นายวีระศักดิ์ พึ่งรัศมี อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า กำลังหารือร่วมกับกรมสรรพากรว่าจะหาแนวทางร่วมกันในการยืดอายุแหล่งผลิตได้อย่างไร เช่น ปกติแล้วทางเอกชนจะสามารถนำค่าใช้จ่าย นำค่าเสื่อมจากการลงทุนหลุมผลิตไปหักค่าใช้จ่ายภายใน 5 ปี แต่เมื่ออายุสัมปทานก่อนสิ้นสุดสัญญา เหลือ เพียง 3 ปี จะลดระยะเวลา หรือนำช่วงเวลาที่เหลือไปหักค่าใช้จ่ายกับแหล่งผลิตแหล่งอื่นได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม นับว่ามีข่าวดีที่เชฟรอนยืนยันจะผลิตอัตราปัจจุบันจนถึงปี 2562 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ปตท.สผ.ยืนยันกำลังผลิตเท่าเดิมไปจนถึงปี 2563
นายพรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า ในการเปิดประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณ ซึ่งเป็นแหล่งเก่ามีข้อมูลเดิมที่ชัดเจนอยู่แล้ว ภาครัฐจึงควรจะใช้วิธีการประมูลในระดับแบ่งปันผลผลิต หรือพีเอสซี โดยกำหนดผลตอบแทนภาครัฐและจูงใจการลงทุนเพื่อให้เกิดความมั่นคงด้านพลังงาน และควรเร่งดำเนินการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมรอบ 21 เพื่อให้เกิดการใช้ก๊าซฯ จากแหล่งในประเทศมากที่สุด เพราะรัฐยังได้ประโยชน์จากภาษี ค่าภาคหลวงการลงทุนต่อเนื่องนับเป็นแสนล้านบาทต่อปี แต่หากไม่พึ่งพาในประเทศมีแต่การนำเข้าแอลเอ็นจี ไทยต้องเสียดุลการค้า ประโยชน์จะตกกับประเทศผู้ผลิตเท่านั้น ขณะเดียวกันแผนการผลิตไฟฟ้าของประเทศระยะยาว หรือพีดีพีที่กระทรวงพลังงานกำลังปรับปรุงก็ควรเน้นเรื่องการเพิ่มพลังงานทดแทนจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 40 เพราะต้นทุนต่ำลง เช่น โซลาร์เซลล์ ส่วนร้อยละ 60 ที่เหลือก็ต้องกระจายเชื้อเพลิงทั้งถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และการซื้อไฟฟ้าจากต่างประเทศ
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สิ่งที่ภาคเอกชนคำนึงถึงมากที่สุด คือ เสถียรภาพความมั่นคงทางพลังงาน ต้นทุนพลังงานต้องมีความเหมาะสม โดยแม้ 2-3 ปีที่ผ่านมาปริมาณการใช้ไฟฟ้าไม่ได้สูงขึ้นมาก สืบเนื่องมาจากการใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีความหลากหลายของเชื้อเพลิงที่มาผลิตไฟฟ้า เพื่อทำให้มีความมั่นคงทางพลังงานมากขึ้น ต้นทุนราคาพลังงานต้องทำให้ยอมรับได้ และในอนาคตภาคัฐต้องเตรียมพร้อมสำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้น ที่จะเกิดจากการใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV รวมทั้ง โครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการระบบราง ซึ่งต้องวางแผนรองรับให้เพียงพอ
นายคุรุจิต นาครทรรพ อดีตปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ในการประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณ และรอบ 21 ที่ล่าช้า 4-5 ปี เพราะมีความเข้าใจในข้อมูลที่คลาดเคลื่อน รัฐบาลต้องรับฟังข้อมูลข้อมูลให้รอบด้าน ทั้งนี้ การประมูลแหล่งบงกช-เอราวัณนั้น คงไม่สามารถระบุเรื่องวงเงินได้ แต่การประมูลจะต้องมีการกำหนดเรื่องข้อเสนอกำลังผลิตขั้นต่ำ การวางแผนเพิ่มกำลังผลิตในอนาคตได้เท่าใด เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน ขณะเดียวกันจะต้องมีการแข่งขันเรื่องเงินให้เปล่าเบื้องต้นแก่ภาครัฐอีกด้วย โดยภาพรวมตั้งดูทั้งเรื่องความมั่นคงทางพลังงานและผลตอบแทนแก่รัฐ
ทั้งนี้ การแสดงความเห็นดังกล่าวเกิดขึ้นในงานเสวนา “หลุมดำ พลังงานไทย” โดยคณะนักศึกษาหลักสูตรด้านวิทยาการพลังงานสำหรับนักบริหารรุ่นใหม่หรือ วพม.4 ซึ่งมีพลอากาศเอกประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน ประเทศไทยกำลังพัฒนาปรับโครงสร้างประเทศ เพื่อความยั่งยืน ซึ่งในส่วนของพลังงานนับเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สนับสนุนทุกด้าน และที่สำคัญที่ผ่านมามีความเข้าใจผิดและให้ข้อมูลที่ผิดด้านพลังงาน ทุกฝ่ายต้องร่วมสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเดินหน้าผลิตพลังงาน ผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอกับความต้องการใช้และเกิดความมั่นคง.-สำนักข่าวไทย